เพราะความเป็นสอง - เราจึงหนีอวิชชาไม่พ้น

โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 13 สิงหาคม 2548

เมื่อร่วม ๒,๐๐๐ ปีก่อน อัศวโกษะเขียนคัมภีร์ญานปัตฐาน คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นภาษาสันสกฤต โดยใช้เวลา ๑๒ ปีเต็มๆ ที่ต่อมาได้กลายเป็นส่วนสำคัญของมหายานพุทธศาสนา โดยมีส่วนหนึ่งเป็นที่มาของบทความนี้ว่า “สรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ล้วนมาจากหนึ่ง ที่เรียกว่า “ตถาตะ” อันละเอียดยิ่งเช่นเดียวกันทั้งหมด แต่ด้วยอวิชชาและอหังการของมนุษย์ทำให้รับรู้เป็นภาพเป็นต่างๆ นานา จริงๆ แล้วทั้งหมดนั้นไร้รูปไร้กาย เป็นจิตมนุษย์เองที่เห็นผิดจนคิดว่าเป็นรูปเป็นกาย...แต่ถ้าจิตเป็นอิสระจากความเห็นผิดนั้นๆ เมื่อจิตอยู่ในความสงบอันประณีตแห่งสมาธิ สรรพปรากฏการณ์ก็จะหายไปเอง แม้แต่ที่ว่างหรืออวกาศก็ไม่มีจริง...โดยธรรมชาติอันนิรันดร-ทั้งสอง-ไม่ใช่ทวิตา...” (Teitaro Suzuki: The Awakening of Faith, ๑๙๐๗)

เนื้อหาสาระของบทความนี้ อาจไม่มีสาระสำหรับคนทั่วไปที่มองโลกบนความเป็นสอง (ทวิตาหรือทวิภาพ) แต่จะมีสาระที่สำคัญสำหรับคนกระบวนทัศน์ใหม่ โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่

เพราะว่า ด้วยข้อมูลใหม่ๆ ทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยา ทุกวันนี้ เรามีคำตอบใหม่ที่พิสูจน์ได้เกือบทั้งหมดโดยคณิตศาสตร์ (String theory, Matrix or M-theory, Loop quantum gravity, Vacuum theory etc.) แม้ว่าการพิสูจน์ด้วยคณิตศาสตร์ได้ทั้งหมดกับสัทธรรมความจริงเป็นคนละเรื่องกัน แต่หากทั้งสองเกิดมาคล้องจองกันเข้าย่อมจะทำให้การรับรู้และการแปลประสบการณ์ของเราแตกต่างออกไป จำเป็นและสำคัญสำหรับผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์ ที่เป็น “นักวิชาการเพื่อวิชาการบริสุทธิ์” ทุกคนจะต้องรู้และเอามาคิด เพื่อความเข้าใจในสมุทัยของทุกข์กับวิกฤติทั้งหลายของโลกได้ดีขึ้นกว่าเดิม

ครับ เรากำลังมีปัญหาสารพัดในทุกๆ ระบบ - วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ การ ศึกษา กระทั่งการแพทย์และสุขภาพ - อันเป็นพื้นฐานอารยธรรมของเรามาตลอด แต่ไม่เคยมีช่วงสมัยใดที่ความเลวร้ายของวิกฤติจะมีความรุนแรงหนักหน่วงต่อการดำรงรอดของเผ่าพันธุ์เช่นที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ผู้อ่านที่ติดตามช่องข่าวบีบีซีเวิร์ลด์ในระยะสามสี่เดือนติดต่อกันเป็นประจำจะต้องรู้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอดส์ที่ไม่ใช่เอชไอวีไข้หวัดนกที่จะมีคนติดเชื้อกว่า ๑,๒๐๐ ล้านคน (Nature, May ๒๐๐๕) กระทั่งอุกาบาตที่จะตกลงมาชนโลก ตามวัฏจักรการโคจรของระบบสุริยะไปรอบแกนกลางกาแล็กซี่ทางช้างเผือก ที่โคจรครบหนึ่งรอบในทุกๆ ๒๕๐ ล้านปี (BBCworld.com /science) รวมทั้งข้อมูลล่าสุดที่บอกว่า ระดับน้ำทะเลที่สูงเกิน ๐.๔๕ เมตรเกิดจากโลกร้อนจากการเผาน้ำมันของมนุษย์เรา เช่นที่ประเทศบังคลาเทศ ทั้งหมดนั้นจะทำให้เรื่องสึนามิต้องชิดซ้ายตกท้องร่องไปไหนก็ไม่รู้

จะเห็นได้ว่าปัญหาทั้งหมดของมนุษย์ล้วนมาจากความอยากจะติดปีกด้วยเศรษฐกิจ และเสรีที่มีเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือทั้งสิ้น ล้วนมาจากหลักการแยกส่วนที่ตั้งบนความเป็นสอง (บนความเป็นสอง - บนความเป็นสอง - บนความเป็นสอง - ไม่มีสิ้นสุด) ราวกับว่าจักรวาลนี้โลกนี้คือเวทีให้ทุกชีวิตอภิวัฒน์จิตที่อยู่ภายในขึ้นมา เพื่อการเรียนรู้และพบกับความจริงแท้หลังรูปหลังกายหลังเกิดตาย กระทั่งหลังจักรวาลที่เห็น

การที่เราตามืดตามัวกับเศษเสี้ยวของวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าเทคโนโลยี เพราะว่ามันก่อความสุขสนุกสะดวกสบาย แถมติดปีกให้กับตัณหาอวิชชาแก่มนุษยชาติเพียงเผ่าพันธุ์เดียวจนเสียนิสัย จนลืมคิดว่าเทคโนโลยี“เผาซากน้ำมัน” เหล่านั้นมันให้แต่ด้านบวกที่ปลอดภัยจริงๆ หรือ? ในช่วงสองสามร้อยปีแรก เมื่อประชา กรโลกมีน้อย แต่ธรรมชาติยังมีเหลือเฟือ เราจึงไม่เห็น แต่ตอนหลัง โดยเฉพาะสองสามทศวรรษมานี้ เราถึงเริ่มรู้สึก ว่าทำไมอะไรที่เลวร้าย ไม่ว่าโลกร้อนพายุร้ายหรือโรคระบาดแปลกๆ จึงแห่กันมาหาบ่อยขึ้นและบ่อยขึ้น เราชักจะรู้ และรู้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่มันสายเกินไปเสียแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้เลย - ย้ำ- เราแก้ไขอะไรไม่ได้เลย (Ervin Laszlo, Peter Russell & Stanislav Grof: The Consciousness Revolution,๑๙๙๙) หากจะมีนักวิชาการคนไหนเห็นแย้งกับปราชญ์เหล่านี้ สามารถเข้าไปคุยโดยตรงในเว็บไซต์ชื่อเต็ม (ชื่อกับนามสกุลติดกันยกเว้นโกร๊ฟที่ใช้เฉพาะชื่อสกุลเป็นเว็บไซต์)

บทความนี้จะชี้ให้เห็นความสอดคล้องกันหว่างประเด็นสำคัญๆ ทางพุทธศาสตร์โดยเฉพาะมหายาน เช่นประเด็นของความเป็นสอง หรือทวิตา หรือมายา ที่แม้เมื่อวานนี้เรายังเรียกว่าพุทธปรัชญา (ถ้าไม่ถึงกับเรียกว่าความคิดจิตนิยมหรือความงมงาย) แต่วันนี้ฟิสิกส์กับจักรวาลวิทยาพูดเช่นเดียวกัน แถมพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์และด้วยคณิตศาสตร์ที่ผู้เขียนเชื่อว่าสมบูรณ์เสียด้วย จึงเชื่อว่า เราทุกคนต้องยอมรับว่านั่นคือความจริงทางวิทยาศาสตร์อย่างแทบไม่มีข้อแม้

จักรวาลวิทยาคือองค์ความรู้แรกสุดของทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้ประสบการณ์แก่เรา รวมทั้งที่มาของชีวิตและมนุษย์กับการดำรงอยู่ทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทำ ที่เราคิด ที่เราเรียนรู้และรับมาเป็นประสบการณ์ ล้วนแล้วเกิดขึ้นบนโลกนี้จักรวาลนี้ที่มีที่ว่างและเวลา (space-time) สี่มิติเป็นเวที ขณะเดียวกัน จักรวาลวิทยาคือปฐมภูมิขององค์ความรู้วิทยาศาสตร์ธรรมชาติทุกสาขา ที่ให้อารยธรรมความเป็น “สมัยใหม่” แก่มนุษยชาติตลอดเวลากว่า ๓๐๐ ปี น่าเสียดายและน่าเสียใจที่ความรู้ความเข้าใจของเราในเรื่องนี้ได้เถลเฉไฉไถลออกไปนอกลู่นอกทาง ทำให้เราผลิตชุดความรู้ที่อธิบายความจริงของธรรมชาติผิดทางไปด้วย อารยธรรมที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมาจึงมีอายุสั้นยิ่งนัก และกำลังเดินเข้าไปสู่ความล่มสลายเร็วขึ้น เรามีเวลาน้อยเพียงหนึ่งทศวรรษที่จะแก้ไของค์ความรู้อันเถลเฉไฉไปนอกทางนั้น ที่จะตื่นและเปลี่ยนแปลง โดยการช่วยกันตะโกนให้คนอื่นได้รู้และลอกคราบความรู้ที่ผิดๆ ออกไปเสีย เอาวิทยาศาสตร์กายภาพโดยเฉพาะเทคโนโลยีพร้อมกับระบบสังคมที่เฉไฉทั้งแผงทิ้งไปเสีย แล้วหันมาหาวิทยาศาสตร์ใหม่ที่มีจักรวาลวิทยาเป็นหัวหอก

น่าสนใจคือ จักรวาลวิทยาใหม่กลับมีความสอดคล้องกับจักรวาลวิทยาดีกดำบรรพ์กับตำนานปรัมปราที่อยู่คู่กันมากับความหมาย ตำนาน (myth) ที่บรรพบุรุษเราเคยเชื่อมั่นและพยายามแสวงหามานับพันๆ ปี ก่อนจะมีวิทยาศาสตร์

รากฐานของจักรวาลวิทยานั้น (แทบทั้งหมดเป็นการคาดการณ์ (speculation) ทางวิทยา ศาสตร์) ที่มีทฤษฎีหรือคณิตศาสตร์สนับสนุน ในที่นี้จะสรุปย่อชุดจักรวาลวิทยาใหม่ตามที่ผู้เขียนเข้าใจจากหนังสือที่ประหนึ่งเป็นตำราทางจักรวาลวิทยาสำหรับผู้อ่านที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์สี่เล่ม เล่มแรกที่บีบีซีเวิร์ลด์เอามาออก อากาศเมื่อเร็วๆ นี้ของ มิชิโอะ กากุ (Michio Kaku: Parallel Worlds..; ๒๐๐๕) กับหนังสืออีกสองเล่มของ แมธธิว ริคาร์ด กับ ตริน ซวน ทวน (Matthieu Ricard,Trinh Xuan Thuan: The Quantum and the Lotus, ๒๐๐๑) และของเฮนรี สแตบบ์ (Henry Stapp: Mind, Matter & Quantum Mechanics, ๒๐๐๐) ทั้งสามเล่มพูดถีงจักรวาลที่เกี่ยวกับนิพพานและจิตวิญญาณ ส่วนอีกเล่มหนึ่งมาจากนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่โคลัมเบีย คือ ไบรอัน กรีน (Brian Greene: The Fabric of The Universe,๒๐๐๓)

มิชิโอะ กากุ เป็นนักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ระดับนำของโลก ที่เคยเขย่ารากฐานของจักรวาลวิทยามาแล้วหลายครั้ง ตอนแรกนักฟิสิกส์ด้วยกันรับไม่ได้ กระทั่งไม่ถึงสองทศวรรษมานี้เองจึงได้รับการยอมรับอย่างแทบเป็นเอกฉันท์ นั่นคือการคาดการณ์ทางจักรวาลวิทยาบางประการที่มีข้อพิสูจน์บนสมการคณิตศาสตร์ว่าด้วยทฤษฎีไยมหัศจรรย์ และทฤษฎีแมทริกซ์ (String theory / M-theory) และควอนตัม เมคานิกส์ รวมทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ คือการพิสูจน์ได้ว่า จักรวาลมีมิติหลากหลาย สสารดำรงอยู่ด้วยพลังงานที่ให้ความถี่ของการสั่นสะเทือน (vibration) ในแต่ละมิติสั่นหยาบหรือละเอียดแตกต่างกัน และแตกต่างจากจักรวาลที่สั่นสะเทือนอย่างหยาบที่มีสี่มิติของเรา เท่าที่พิสูจน์ได้พบว่าอย่างน้อยจักรวาลมี ๑๑ มิติ มิชิโอะบอกว่ามิติที่ ๑๑ เป็นสภาวะนิพพาน (nirvarna) ที่มีความถี่ละเอียดอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับโลกสี่มิติของเรา

มิชิโอะ กากุ พิสูจน์ได้ว่าจักรวาลมีมากมาย (multiverses) อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยแต่ละจักรวาลจะมีลักษณะเหมือนฟองของเหลว- ที่ยุบๆ พองๆ - หรือให้ฟองขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา มิชิโอะบอกว่าจักรวาลถัดไปอาจอยู่ห่างเพียงหนึ่งมิลลิเมตรจากผิว (brane) จักรวาลของเรา แต่รับรู้ไม่ได้เพราะมันอยู่เหนือมิติ (สี่มิติ) ของเรา มิชิโอะยังบอกว่า ทุกวันนี้ นักฟิสิกส์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า การเกิดใหม่ของจักรวาลนั้น มีความเป็นไปได้หลายทาง ทางแรก จักรวาล (สี่มิติเช่นจักรวาลของเรา) จะเกิดใหม่หลังจากหนึ่งล้านล้านปีนับจากวันนี้ โดยสิ้นสุดลงด้วยความเย็นเยือก (big freeze) ไร้พลังงาน ขณะเดียวกันพลังงานมืด (dark energy) ที่ได้จากการยุบตัวเองลงมาของสสารมืด (dark matter) จะรวมเป็นหลุมดำที่ต่อเนื่องกับหลุมขาว - เพื่อจะให้บิกแบ็งใหม่ - เรื่อยไป หรืออีกเส้นทางหนึ่ง หลุมดำที่อยู่ใจกลางของทุกๆ กาแล็คซี่จะรวมเข้าด้วยกันทำให้จักรวาลหดตัวลงมา (big crunch) เป็นหลุมขาว

ชิปอฟ (G. Shpov) นักฟิสิกส์แนวหน้าของรัสเซีย ผู้ค้นพบทฤษฎีความว่างเปล่า (theory of physical vacuum) แคนดิเดทรางวัลโนเบลปีนี้คิดว่า มิติแห่งนิพพานอยู่หลังมิติที่ ๙ เป็นต้นไป เมื่อความสั่นสะเทือนของพลังงานมีความละเอียดอย่างยิ่ง อนึ่ง จักรวาลทั้งหลายรวมจักรวาลของเรา ต่าง “ยุบๆ พองๆ” ดับแล้วเกิด เกิดแล้วดับจากความว่างเปล่าไม่มีวันจบสิ้น

ทั้งหมดนั้นอาจเข้าใจยากสำหรับผู้อ่านที่ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์ ส่วนนักวิทยาศาสตร์ใหญ่ที่คิดว่าเก่งแล้วก็มักไม่ยอมอ่าน ทำให้ผู้นำสังคมเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งสื่อต่างๆ ที่เชื่อแค่ความเห็นของนักวิทยา ศาสตร์ใหญ่ที่ตรงกับสามัญสำนึก “ความเป็นสอง” ของตน ทำให้อะไรๆ ต้องชะลอไว้ก่อน เราถึงได้มีสึนามิ มีน้ำท่วมสลับภัยแล้ง และจะมีวิกฤติโลกในรูปอื่นอีกต่างๆ นานา

อ่านหนังสือของ มิชิโอะ กากุ แล้วอดไม่ได้ที่จะคิดถึงยานบิน (UFO) ที่จอห์น แม็ค จิตแพทย์จากฮาร์วาร์ดที่เพิ่งตายไปบอกว่า ยานบินไม่ใช่มาจากต่างดาว แต่มาจากต่างมิติที่สามารถควบคุมหรือใช้จิตนำทาง จึงอาจปรากฏให้คนในโลกสี่มิติเห็นได้ (John Mack, Abduction, ๑๙๙๕) และอดคิดถึงชั้นต่างๆ ของนรกสวรรค์ - ที่อาจอยู่ในมิติต่างกันหรือชี้นำด้วยสนามพลังงานที่มีการสั่นสะเทือน (vibration) หยาบหรือละเอียดแตกต่างกัน - ไม่ได้ ดังข้อสรุปว่าสวรรค์กับเทวดา คือผู้มาเยือนจากนอกโลกที่เอาชนะข้อแม้มิติได้ (Erich Von Daniken: Chariots of the Gods, ๑๙๗๐)

ศาสนาพุทธเองพูดถึงจักรวาลที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่มีการตั้งต้นจึงไม่มีการดับสูญไปได้ (อนามัตโก ยามัง สังสาโร บัพโคติ นะ ปัญญายาติ) จักรวาลที่เราอยู่นี้ มีสามลักษณะคือ หนึ่ง มหาโลกธาตุที่ประกอบด้วยกลุ่มโลกธาตุจำนวนมาก เทียบได้กับจักรวาลทั้งหมดที่มีกลุ่มกาแล็คซี่จำนวนมาก สอง มัชฌิมโลกธาตุที่ประกอบด้วยโลกจำนวนมาก เทียบได้กับกาแล็คซี่ทางช้างเผือกที่มีดาวหรือดวงอาทิตย์มากมาย และสาม จุลโลกธาตุ หมายถึงระบบสุริยะและโลกมนุษย์กับดาวเคราะห์อื่นๆ มหายานบอกว่า จักรวาลที่เราเห็นและให้โลกที่เราอยู่ ไม่ใช่ความจริงแท้ แต่เป็นความจริงสัมพัทธ์เท่านั้น แยกจากจิตไม่ได้ ทั้งสองอยู่คู่กันและเสริมเติมกันด้วยพลังงานหรือแรงแห่งการกระทำหรือแรงกรรม

แม็ธธิว ริคาร์ด ที่อ้างข้างบนนั้น คือเจ้าอาวาสวัดใหญ่แห่งหนึ่งในอินเดีย ก่อนบวชเป็นพระ คือนักชีววิทยาระดับผู้บริหารของสถาบันปาสเจอร์ (Pasteur Institute) ที่กรุงปารีส สรุปว่า

“....จักรวาลของเราเกิดจากการรวมตัวกันของธรรมธาตุ (ไม่ใช่สสาร แต่หมายถึง “ศักยภาพ” ของการเป็นสสาร) โผล่ปรากฏออกมาจากอวกาศ (space) ที่ “ว่างเปล่า” (สุญตาหรือ void) เท่าๆ กับที่เป็นความ “เต็ม” ในตอนแรกที่ปรากฏเป็นรังสีห้าสีที่ต่อมาจะค่อยๆ กลายเป็นสสารหรือธาตุทั้งห้า (ธาตุสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม กับอากาศธาตุ ที่ต่อมาประกอบเป็นชีวิต หรือบางทีแยกต่อเป็นอากาศธาตุและวิญญาณธาตุของเถรวาท) ในพุทธศาสนานั้นจักรวาลไม่ใช่มีเพียงหนึ่งหรืออยู่ตามลำพัง แต่ไม่มีที่สิ้นสุด ต่างพึ่งพาหรือเป็นเหตุปัจจัย เป็นวัฏจักร (cyclical หมุนวนเวียนแต่ไม่ทับซ้ำรอยเดิม) วัฏจักรของจักรวาลหนึ่งๆ จบลงด้วยไฟบัลลัยกัลป์ ๗ ครั้ง แล้วทุกสิ่งทั้งหมดถูกดูดหายไปในความว่างเปล่าที่เชื่อมต่อระหว่างจักรวาลเก่ากับจักรวาลใหม่”

Back to Top