มนุษย์จำเป็นต้องมีจิตขนาดใหญ่
เพื่อที่จะบรรจุความเมตตา ความกรุณา
อันไม่มีที่ประมาณไว้ได้
โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 22 สิงหาคม 2552
จากหัวข้อของบทความ ขอให้ผู้อ่านคิดให้ถ้วนถี่ว่า เหตุผลที่เราใช้ในการกำหนดและกำกับวิถีชีวิตอยู่ทุกวันนั้น คืออะไร? มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์เดียวของโลกที่ทำอะไรก็ถูกหมดอย่างนั้นหรือ? คิดให้ดีแล้วค่อยอ่านให้จบ เพราะบทความนี้น่ากลัว แถมยังมีความเป็นไปได้ ทั้งต้องรู้ว่าที่ยกมานั้นไม่ใช่คำพูดของผู้เขียน หากแต่เป็นของศาสตราจารย์โรงพยาบาลเคมบริดส์ มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด จิตแพทย์ จอห์น อี. แมค (John E. Mack) ที่เสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน ทั้งที่มีอายุเพียง ๖๐ ปีต้นๆ
ในคำนำหนังสือของเขา (Abduction, 1995) ซึ่งผู้เขียนบทความได้นำเนื้อหามาเขียนลงหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในปีเดียวกัน และปีต่อๆ มาอีกสองหรือสามบทความ โดยเฉพาะข้อสงสัยของผู้เขียนที่ว่า ทำไม? การลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาวถึงเกิดแต่กับฝรั่ง – เพิ่งมารู้คำตอบใน www.abovetopsecret.com วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๐๐๘ นี่เอง ที่บอกว่า มนุษย์ต่างดาวมักจะลักพาคนที่มีเลือดชนิด Rh-negative โดยเฉพาะจากครอบครัวฝ่ายแม่ทั้งตระกูล ซึ่งคนคอเคเชียนจะมีหมู่เลือดชนิดนี้มากถึง ๑๕ เปอร์เซ็นต์ แต่คนเอเชียมีไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า – ดังที่ได้เขียนมาตลอด – คนมองโกลอยด์รวมทั้งไทยเราด้วย มาจากโฮโมอีเรคตัส (บรรพบุรุษของมนุษย์ที่มีใบหน้าตั้งตรงเหมือนมนุษย์ยุคใหม่แล้ว จัดเป็นมนุษย์แรกเริ่ม) ที่อพยพไปด้วยและวิวัฒนาการไปด้วย - เป็นโฮโมซาเปียนส์หรือมนุษย์ปัจจุบัน – ทางเอเชียหรือตะวันออก แทนที่จะรอให้มีวิวัฒนาการที่อาฟริกาก่อนถึงจะอพยพในภายหลัง เช่น คอเคเชียน และนิโกร ซึ่งทำให้เราสามารถอธิบายการกำเนิดของมนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง (Java man and Peking man) ซึ่งเป็นโฮโมอีเรคตัสได้ทั้งหมด
กลับมาที่ จอห์น อี. แมค ตอนนั้น บางกอกโพสต์ในบ้านเราได้ลงข่าวหน้าหนึ่งในเรื่องหนังสือ Abduction ของเขาหลังจากวางตลาด เพราะมีอาจารย์ไปฟ้องอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดว่า หนังสือของเขาไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้มหาวิทยาลัยเสื่อมเสียชื่อเสียง อธิการบดีจึงตั้งคณะกรรมการที่ส่วนมากเป็นนักวิทยาศาสตร์มาสอบสวน หลังจากได้ทำการตรวจงานวิจัยอันเป็นที่มาของหนังสือดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการต่างเห็นพ้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า งานวิจัยและหนังสือของเขาเป็น “วิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง” ทำให้อธิการบดีและคณะกรรมการต้องออกหนังสืออย่างเป็นทางการ พร้อมกับเดินทางไปพบ จอห์น อี. แมค เพื่อขอโทษถึงบ้าน และได้กลายเป็นข่าวใหญ่ที่หนังสือพิมพ์บ้านเราต้องเอามาลง
การนำเรื่องทั้งหมดมาลงในมติชนอีกครั้งหนึ่ง เพราะผู้เขียนคิดว่าบทความดังกล่าวสำคัญ เนื่องจากนักวัตถุนิยมจ๋ากำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนมาสนับสนุนวิทยาศาสตร์ใหม่ ที่ให้ความจริงคล้ายๆ กับความจริงทางศาสนาที่เกิดขึ้นจากทางตะวันออก ซึ่งไร้เหตุผล ตามที่นักฟิสิกส์ใหม่ทุกคนบอก
เรื่องที่ปราศจากตรรกะและไร้เหตุผลอย่างนี้ ก็เหมือนกับคำทำนายของศาสนาและลัทธิความเชื่อในวัฒนธรรมต่างๆ เช่น เรื่องความล่มสลายระดับโลกในปี ค.ศ. ๒๐๑๒ ตามปฏิทินของชาวมายาในอเมริกากลาง (The crash of 2012!) ซึ่งตรงกับปีมะโรง พ.ศ. ๒๕๕๕ และเป็นปีที่พระเถระมากหลายในพุทธศาสนาและในศาสนาใหญ่แทบจะทุกศาสนาเตือนให้ชาวโลกระวังไว้เหมือนๆ กัน ทั้งยังตรงกับที่ผู้เขียนจะอายุครบ ๘๔ ปี ซึ่งได้เคยบอกกับเพื่อนๆ หลายคนว่าเป็นปีที่ผู้เขียนน่าจะตาย
จริงๆ แล้ว ไม่ว่าใครเชื่อหรือไม่เชื่อเพราะไม่มีตรรกะและเหตุผล ก็ไม่เกี่ยวกับการเกิดหรือไม่เกิดของเหตุการณ์นั้น ทั้งยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ทั้งในพุทธศาสนาและฟิสิกส์ใหม่หรือแควนตัมเมคานิกส์ ซึ่งทั้งสองวินัยบอกไว้เหมือนๆ กันว่า เหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้น เป็นศักยภาพของความ “น่าเป็นไปได้” หรือทางเลือกของผู้สังเกต (choice) หรือจิตของเรา (Henry Stapp: Mind, Matter and Quantum Mechanics, 2004 และ Arthur Zajonc editor: The New Physics and Cosmology: Dialogues with the Dalai Lama, 2004) เนื่องจากภาวะล่มสลายของสภาพความเป็นคลื่น (wave-function collapse)
เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามคำทำนาย ไม่ได้หมายความว่าผู้ทำนายผิด หรือคาดการณ์เอาเอง แต่โดยที่ทางเลือกของความ “น่าเป็นไปได้” มีหลายๆ อย่าง ทำให้เหตุการณ์ซึ่งเกิดจากการเลือกหรือความล่มสลายของคลื่นเป็นไปอย่างอื่น อย่าลืมว่าแควนตัมเมคคานิกส์นั้น ไม่มีทั้งตรรกะและเหตุผลเช่นในคลาสสิคัลฟิสิกส์ของนิวตัน ที่เป็นความจริงทางโลกแห่งกายวัตถุที่เรามองเห็นหรือรับรู้ อันเป็นที่มาของตรรกะและเหตุผล การเกิดของเหตุที่ก่อผลซึ่งทำนายได้ (cause and effect; and determinism) ซึ่งตรงกันข้ามกับแควนตัมเมคคานิกส์ ดังที่ เดวิด ฟิงเกลสไตน์ นักฟิสิกส์มีชื่อจากเอ็มไอที กล่าวว่า “เราจะหาตรรกะเหตุผลในแควนตัมเมคคานิกส์ไม่ได้หรอก ต้องหาตรรกะทางแควนตัมถึงจะได้” (cited by Nick Herbert: Quantum Reality, 1985)
เพราะฉะนั้น คำทำนายในศาสนาต่างๆ รวมทั้งคำทำนายของนอสตราดามุส เอ็ดการ์ เคซี่ รวมทั้งปฏิทินชาวมายาในเรื่อง ค.ศ. ๒๐๑๒ และเรื่องการย้ายแผนที่โลกหรือย้ายขั้วโลก (geographical reversal & pole shift) จะคล้ายๆ กับเรื่องของ ๕-๕-๒๐๐๐ (วันที่ ๕ เดือน ๕ ปี ค.ศ.๒๐๐๐) ที่ดาวมาเข้าแถวกันถึง ๗ ดวง โดยไม่มีเหตุการณ์อะไร แต่เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่เกิดขึ้นในวันและเวลานั้นๆ ไม่ใช่เป็นการทำนายที่ผิด แต่เป็นไปตามกฎทางเลือกแห่งแควนตัม คือความ “น่าเป็นไปได้” ที่กล่าวมาข้างบน
อย่าลืมว่าศาสดา อรหันต์ นะบี หรือนักบุญในศาสนาต่างๆ นั้น ต่างรับรู้เหตุการณ์ทั้งหลายในสมาธิหรือญาณหยั่งรู้ แม้ว่าการสลายคลื่นศักยภาพของความน่าเป็นไปได้ จะขึ้นอยู่กับจิตใจและสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นด้วย แต่ผู้ทรงศีลหลายคนรวมทั้งผู้มีความสามารถต่างเห็นหรือรับรู้เช่นเดียวกัน แม้เวลาจะต่างกัน เช่น ปรากฏการณ์ที่จะเกิดใน ค.ศ. ๒๐๑๒ หรือปีมะโรง พ.ศ. ๒๕๕๕
จึงมีความน่าเป็นไปได้สูงมากกว่าปกติที่นักวิชาการจะต้องฟังเพื่อเตรียมบอกประชาชนว่า จงอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด
ริชาร์ด มูลเลอร์ (Richard Muller: Nemesis, 1988) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์ แคลิฟอร์เนีย คิดว่า ดวงอาทิตย์ของเราเป็นหนึ่งในดาวคู่แฝด (binary-star system) ซึ่งมีวงโคจรที่จะปรากฏให้เราเห็นในท้องฟ้า ว่ามีดวงอาทิตย์สองดวงทุกๆ ๒๖-๓๐ ล้านปี อันพ้องกับเหตุการณ์ล่มสลายของโลกที่เกิดจากอุกาบาตหรือดาวหางวิ่งมาชนโลก เพราะดาวใหญ่จะเกี่ยวมา เช่น ที่เกิดขึ้นเมื่อ ๖๕ ล้านปีก่อนพร้อมๆ กับการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ และการสูญพันธุ์ของแมมมอลยักษ์เมื่อราวๆ ๓๐ ล้านปีก่อนพอดี จริงๆ แล้วภายใน ๒๕๐-๒๖๐ ล้านปีที่แล้ว โลกเรามีสภาวะล่มสลายโลกทั้งหมด ๑๐ ครั้ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คิดว่าเกิดจากอุกาบาตหรือดาวหางวิ่งมาชน สังเกตได้จากการพบอิริเดียมในชั้นดินแต่ละครั้งล้วนห่างเวลากัน ๒๖-๓๐ ล้านปีทั้งนั้น ยกเว้น ๒ ครั้งที่วิทยาศาสตร์ไม่รู้ แต่คาดว่าอุกาบาตหรือดาวหางวิ่งเฉียดเฉี่ยวโลกไป
เรื่องที่ ริชาร์ด มูลเลอร์ เขียนในหนังสือ Nemesis นั้น ผู้เขียนได้นำมาเขียนเป็นบทความเมื่อหลายปีก่อน ที่สำคัญคือ ทฤษฎีเรื่องดวงอาทิตย์คู่แฝดที่มีวงโคจรซึ่งจะต้องมาเจอกันในท้องฟ้าทุก ๓๐ ล้านปี - นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่เชื่อ - ไม่เพียงตรงกับปรากฏการณ์โลกพังที่เกิดจากแรงดึงดูดของดาวคู่แฝดที่วิ่งเข้ามาใกล้ ซึ่งทำให้ดวงอาทิตย์สลับขั้วแม่เหล็กและการย้ายภูมิศาสตร์โลกเป็นประจำ (periodic extinction) เนื่องจากดาวคู่แฝดไปเกี่ยวเอาดาวหางหรืออุกาบาตให้วิ่งมาชนโลกด้วย
ทฤษฎีของมูลเลอร์ตรงกับรายงานของ ปีเตอร์ วอร์โลว์ (Peter Warlow: Pole Flipping and Earth Magnetism, New Scientist, 1978) ที่คิดว่าการย้ายแผนที่โลก (ย้ายขั้วโลกใต้ไปทางเหนือ) และการสลับขั้นแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จากดาวคู่แฝดที่เขามาใกล้ๆ ระบบสุริยะ พร้อมกับเหนี่ยวนำเอาดาวหาง-อุกาบาตมาด้วยนั้น ไม่น่าจะใช่อย่างที่นักคอมพิวเตอร์ขององค์การนาซ่าคิดในอินเทอร์เน็ต
นอกจากทางวิทยาศาสตร์แล้ว เหตุการณ์ดังกล่าวยังตรงกับคำทำนายของศาสนาใหญ่เช่น ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และนอสตราดามุสด้วย
นอสตราดามุสเขียนในโคลง ๒:๔ ว่า
“ดาวใหญ่ดวงหนึ่งจะแผดเผาอยู่เจ็ดวัน
เมฆจะทำให้ดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นสองดวง”
และโคลงที่ ๑:๘๔ มีว่า
“ดวงจันทร์จะมืดอย่างที่สุด
พี่ชาย (ดวงอาทิตย์) ผ่านสิ่งหนึ่งที่สีแดงคล้ำเช่นสีเลือด
ดาวใหญ่ที่ซ่อนตัวมานาน...ท่ามปลางฝนสีเลือด”
แอลเลน วอห์ฮัน (Alan Vaughan: Patterns of Prophecy, 1976) แปลคำโคลงของนอสตราดามุส ว่า “จะมีดาวใหญ่สีเลือดดวงหนึ่ง (อีกดวง) ปรากฏให้เห็นซึ่งจะลุกไหม้อยู่เจ็ดวัน เมฆจะทำให้เห็นดวงอาทิตย์มีสองดวง” แอลเลน วอห์ฮัน คิดว่าดวงอาทิตย์คู่แฝด “เป็นเรื่องเหลวไหล” ทางดาราศาสตร์ (โคลงของนอสตราดามุไม่เคยเรียงลำดับก่อนหลัง, John White: Pole Shift, 1994)
ผู้เขียนได้เขียนเรื่องที่น่าคิดและน่ากลัวยิ่งนี้ ซึ่งอาจเกิดหรือไม่เกิดในปี ๒๐๑๒ ก็ได้ เพราะรอบเวลาถึง ๓๐ ล้านปีจะมีครั้งหนึ่งดังที่นักดึกดำบรรพ์วิทยาบอกนั้น นับว่ายาวนานนัก ตอนแรกผู้เขียนลังเลใจว่าจะเขียนดีหรือไม่ เพราะผู้เขียนได้เรียนรู้มากขึ้นและอายุมากขึ้นด้วย แต่ในอีกด้านหนึ่งผู้เขียนคิดว่าวิทยาศาสตร์เป็นวินัยที่ค้นหาและตอบความจริง ทั้งเรื่องดังกล่าวยังสนับสนุนชาวโลกให้มีการเปลี่ยนแปลงจิตสู่ระดับจิตวิญญาณที่สูงกว่าได้ จึงตัดสินใจเขียน
อาจารย์อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เคยพูดในกลุ่มจิตวิวัฒน์ว่า ในปี ๒๐๑๓ มนุษยชาติจะมีจิตสูงกว่าปัจจุบัน แต่ไม่บอกว่าประชากรโลกจะเหลือเท่าไหร่ หรือจะเป็นเช่นที่ เจมส์ ลัฟลอค นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกบอกหนังสือพิมพ์การ์เดียนเมื่อต้นปีนี้ว่า โลกจะเหลือคนแค่ ๑๘ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่จะเกิดในปี ๒๐๒๐ ไปแล้วเพราะโลกร้อน อาจารย์ยังบอกว่าในปีนั้นจะมีหิมะตก ซึ่งเป็นไปได้ถ้าเกิดการย้ายแผนที่ไปทางเหนือ
2 Comments
ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ
ตามอ่า่นเรื่องนี้มาบ้างเหมือนกัน และโดยส่วนตัวก็เชื่อเช่นนั้น (แม้ว่าความเชื่อ/ไม่เชื่อของเราจะไม่มีผลอะไรก็ตาม)
แต่มีเรื่องบางเรื่องที่นึกสงสัยอยู่เสมอว่า ก่อนที่กฎเกณฑ์ของธรรมชาติจะทำหน้าที่ของมัน มนุษย์ขี้เหม็นเช่นเราจะสามารถค้นพบคำตอบได้ก่อนมั้ยคะว่า ทำไมเราถึงต้องมาอยู่ที่นี่ เรามีหน้าที่อะไรในโลกหรือจักรวาลนี้กันแน่ ไม่รู้ว่านั่นเกี่ยวกับเรื่องการยกระดับจิตวิญญาณหรือเปล่านะคะ เพราะตัวเองก็ตื้นเขินในเรื่องเหล่านี้มาก แค่ว่า หากได้รู้คงจะนอนตายตาหลับดีเท่านั้น :)
ผมเองก้เชื่อครับ
แสดงความคิดเห็น