เหตุความแตกแยกของมนุษย์กับการเปลี่ยนผ่าน



โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 17 ตุลาคม 2552

หากเราศึกษาประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี โดยเฉพาะในด้านของจิตวิทยาหรือของจิตแล้ว มนุษย์ – แม้ว่าจะมีร่างกายคล้ายๆ สัตว์โดยรูปร่าง – นั้น ไม่ใช่สัตว์อย่างแน่นอน เพราะมนุษย์มีจิตและวิวัฒนาการของจิตไปตามขั้นตอน (Spectrum of Consciousness) ดังที่เราเรียนรู้มาจากนักคิดนักปราชญ์หลายๆ คน เช่น โพลตินัส ศรีอรพินโท ฌอง เกบเซอร์ โดยเฉพาะ เคน วิลเบอร์ ฯลฯ ในเรื่องความรู้ทางจิตอย่างแทบเป็นเอกภาพ

มนุษย์สมัยแรกๆ จึงแยกตนเองออกจากแม่ (พ่อไม่เกี่ยว) และแยกออกจากธรรมชาติรอบตัวได้ยาก ค่อยๆ เรียนเป็นประสบการณ์ และจำ หรือสอน เรียนรู้กันมาเรื่อยๆ พร้อมๆ กับมีวิวัฒนาการทางกาย-จิตมาเรื่อยๆ เหมือนทารกที่ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้น กายก่อน แล้วตามด้วยจิต จิตไร้สำนึกก่อน แล้วตามด้วยจิตใต้สำนึก หรือจิตรู้หรือจิตสำนึก ปัจเจกก่อน แล้วจึงถึงโดยรวม

การที่ผู้เขียนคิดว่ามนุษย์ไม่ใช่สัตว์อย่างแน่นอนนั้น เป็นเพราะปู่ย่าตาทวด ไล่กลับไปถึงคนโบราณมองจิตไม่เห็น และการมองไม่เห็นนั้น คือ หนึ่ง ไม่มีจริง สอง อาจมี แต่ต้องมีอำนาจที่จะซ่อนตัวเองเป็นพิเศษ ได้แก่ พวกเทพเทวดา เจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลาย หรือเป็นผีเป็นสางไปโน่น

ความแตกแยกกัน การรบราฆ่าฟันกัน หรือสงคราม คือความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อการเจริญเติบโตวิวัฒนาการเกิดความผิดปรกติ ของจิตที่เปลี่ยนไป ชะงักหรือถอยร่น (regress) ซึ่งความผิดปรกติของจิตที่ชักนำพฤติกรรมนั้น มักมีโอกาสมากกว่าที่จะเปลี่ยนแปลงกลับไปที่สัญชาตญาณ ซึ่งมีแต่การสืบพันธุ์ การกิน กับการอยู่ให้รอดปลอดภัย ซึ่งทั้งหมดมีความรุนแรงของเวทนาและอารมณ์เป็นองค์ประกอบผลักดันที่สำคัญที่สุด สัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์ จะจดจำเฉพาะเรื่องร้ายแรงหรือเจ็บปวดมากกว่าเรื่องดีๆ เพราะสัญชาตญาณเอาตัวรอดนี่แหละ

บทความดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการเมืองบ้านเราตรงๆ แต่เป็นเรื่องของมนุษยชาติทั้งเผ่าพันธุ์ในปัจจุบัน ซึ่งในความเห็นส่วนตัว ไม่มีทางที่ประชาโลกจะหันมาสมานฉันท์หรือสามัคคีกันได้ ยกเว้นสองประการ คือ หนึ่ง ประชาโลกเหลือน้อยกว่านี้มากๆ และอย่างกะทันหันทันที กับ สอง ประชาโลกที่เหลือ -ต้องเป็นส่วนที่ไม่น้อยนัก - จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality) สูงกว่านี้

บ้านเรานั้น นักการเมืองใหญ่มากๆ คนหนึ่งที่ผู้เขียนรู้จริงๆ ว่ารักชาติมากและเต็มไปด้วยความตั้งใจดีและบริสุทธิ์ ได้อาสามาประสานรอยร้าว ซึ่งจริงๆ แล้วคือความแตกแยกที่รุนแรงและยาวนานของประชาชนคนไทยชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ในสมัยที่เมืองไทยยังมีคอมมิวนิสต์ หรือแม้แต่การแยกดินแดนของประชาชนใน ๔ จังหวัดภาคใต้สุดของเรา

โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า การประสานรอยร้าวความแตกแยกกันของคนไทยในครั้งนี้ คงไม่สำเร็จเพราะมูลเหตุปฐมไม่เหมือนกัน เพราะว่าความแตกแยกของประชาชนในโลกใบเดียวกันซึ่งกำลังเกิดขึ้น จะเกิดขึ้น และต้องเกิดในทุกๆ สถานที่ ทุกๆ ภูมิภาค ทุกๆ ทวีปของโลกในช่วงเวลาอันใกล้ - ไม่เกินสิบปี - ไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์ เศรษฐกิจ หรือเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา หรือวัฒนธรรม อันเป็นธรรมชาติง่ายๆ (ระดับล่างหรือตามที่ตาเห็น)

แต่ในความเห็นของผู้เขียนดังที่ได้เขียนมาตลอดว่า ธรรมชาติมีอยู่สองระดับ คือ ธรรมชาติระดับล่างหรือระดับสมอง ซึ่งเป็นระดับที่ตามองเห็นโดยไม่ต้องคิด เช่น ต้นไม้ ภูเขา ทะเล รวมถึงวัฒนธรรม ภาษาอังกฤษเขียนด้วยเอ็นตัวเล็ก (nature) ส่วนธรรมชาติระดับบนที่ตามองไม่เห็น หรือรับรู้ทางชีววิทยากายภาพไม่ได้ แต่จะรับรู้ได้ด้วยจิตที่อยู่ภายในเท่านั้น คือ พระเจ้า เทพเทวดา เจ้าพ่อเจ้าแม่ (spirit) ไล่ตามกันมาตามลำดับ ภาษาอังกฤษเขียนด้วยเอ็นตัวใหญ่ (Nature)

ดังนั้น ในความเห็นของผู้เขียน มูลเหตุปฐมของความขัดแย้ง อันเป็นธรรมชาติระดับล่างที่เกิดขึ้นในทุกสถานที่ของโลกโดยไม่มีการยกเว้น เป็นเรื่องสัญชาตญาณของสัตว์เดรัจฉานที่มีอยู่ในคน เคน วิลเบอร์ เรียกว่าเป็นจิตพื้นฐานก่อนวิวัฒนาการด้วยซ้ำ (Ground Consciousness in Ken Wilber: Up From Eden, 1981) แต่มันยังไม่ได้คลี่ขยายหรือเบ่งบานถึงเขตสุด เพราะว่าช่วงเวลาของมันยังมาไม่ถึงและไม่มีวันจะมาถึง เหตุเพราะโลกและมนุษยชาติทั้งเผ่าพันธุ์ จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ล้ำลึกแบบถอนรากถอนโคนไปก่อนแล้ว มนุษยโลกจะเหลือน้อยมากๆ ไปแล้ว และมีวิวัฒนาการทางจิตไปแล้วด้วย อย่างน้อยส่วนหนึ่ง

มูลเหตุความแตกแยกของคนทั้งโลกที่ผู้เขียนมองเห็น แต่ผู้อื่นอาจจะยุ่งมากจนไม่มีเวลาคิดจึงมองไม่เห็น คือ มนุษย์เรา – จากระดับจิตที่ยังมีวิวัฒนาการเพียงครึ่งทางอยู่ที่อัตตาตัวตนกับเหตุผล – ได้เอาอัตตาตัวตน (self) ทั้งหมดถอยร่น (regress) ไปผูกติดกับระบบต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นมา และโครงสร้างธรรมชาติของสังคมหรือวัฒนธรรมที่ตาเห็น (ระดับล่าง) เพื่อการอยู่ให้รอด ในสภาพการณ์ที่เราไม่รู้หรือไม่เข้าใจ จิตของเราที่คำนึงถึงความอยู่รอดเป็นอันดับแรก จึงดิ้นรนทุกวิถีทาง ใช้ทุกอย่างที่ผิดปรกติไปนั้นเพื่ออยู่รอดให้ได้ โดยระบบ คือระบบการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ส่วนโครงสร้างธรรมชาติ (ระดับล่าง) คือ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรม

เราเอาอัตตาที่ถอยร่นไปยึดติด (identified) กับอีโก้ หรืออหังการของจิตที่ยังวิวัฒนาการไม่ถึงขั้น (ซึ่งผู้เขียนคิดและเขียนซ้ำๆ มาตลอดว่ามนุษยชาติ โดยธรรมชาติแล้วต้องมีวิวัฒนาการถึงขั้นจิตวิญญาณ ในระดับแรกๆ ซึ่งขณะนี้เริ่มมีบ้างแล้ว คาดว่าจะมีถึงมวลอันวิกฤตเมื่อโลกธรรมชาติวิกฤตกว่านี้ – และเราในภาพรวม – เจ็บปวดมากกว่านี้ ราว ๔-๕ ปีข้างหน้า หรือปี ๒๐๑๓) ทั้งนี้และทั้งนั้น เพียงเพื่อแสดงว่า ธรรมชาติทั้งสองระดับนั้นสำคัญและจำเป็นที่สุด ส่วนความสามัคคีสมานฉันท์ที่เราผลิตสร้างสำหรับการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมรวมทั้งกฎหมายนั้น เมื่อมาถึงที่สุด เมื่อมาถึงปัจเจกบุคคลแล้ว การอยู่ได้รอดและปลอดภัย จะสำคัญและจำเป็นอย่างที่สุดโดยสัญชาตญาณ

แต่กาลเวลาไม่เคยถูกแช่แข็ง ทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงโดยไม่หยุดยั้ง รวมทั้งชีวิตของเราทุกคน ที่โดยรวมคือ วิวัฒนาการที่ไม่เคยเดินเป็นเส้นตรง เราอยู่ในช่วงสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงสังคมกับระบบที่เราคิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นประเด็นของสังคมการเมืองหรือเศรษฐกิจอย่างลึกล้ำ รวมกับโครงสร้างอันเป็นการคัดเลือกของธรรมชาติ (ระดับล่าง) ที่หล่อหลอมเป็นวัฒนธรรมแยกส่วนอันเป็นความแปลกต่าง ซึ่งอาจจะกลายเป็นความแตกแยกได้หากเราไม่รู้และไม่เข้าใจตามที่ได้กล่าวมา

เราจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วทั่วทั้งโลก – โดยเฉพาะคนที่มีความเข้าใจอย่างล้ำลึกในแก่นแกนของพุทธศาสนาที่สอดคล้องต้องกันกับวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ หรือไปไกลยิ่งกว่านั้น ที่แทบจะไม่มีความเชื่อศรัทธาเท่าใดนัก มีแต่ตรรกะและเหตุผลโดยรวมที่พิสูจน์ได้ – นับต่อจากไปนี้ จะคิดและมีวิธีคิดแบบเก่าๆ เดิมๆ ตามนิสัยความเคยชินของเราไม่ได้อีกแล้ว ต้องมีความคิดและวิธีคิดใหม่บนหลักการใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนเดิม

แต่ทว่า ด้วยข้อจำกัดของเรา ด้วยความจำเจยาวนานของวิธีคิดของเราที่ไกลไปยิ่งกว่าสามัญสำนึก เราจึงคิดด้วยวิธีคิดใหม่บนหลักการใหม่ๆ ไม่ออกหรือไม่ได้ เพราะเหตุสำคัญสองประการ คือ หนึ่ง วิธีการความรู้หรือการศึกษาของเราทั้งโลก ทำให้เราได้รับการศึกษากับข้อมูลความรู้ที่แยกส่วนหรือไม่สมบูรณ์ ผิดธรรมชาติขององค์รวม และความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียวกันที่แยกออกจากกันไม่ได้ และ สอง การตีค่าตีราคาของสรรพสิ่งทั้งหลายแม้แต่จิตหรือจิตวิญญาณเองเป็นเงิน ได้สร้างคนให้เห็นแก่เงินเหนือสิ่งอื่นใด แม้ต้องทุจริตคอรัปชั่น และเพราะข้อมูลที่แยกส่วนไม่สมบูรณ์ กับการเห็นแก่เงินนั้นเอง ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งแปลกต่างและความลำเอียง แล้วก่อให้เกิดความแตกแยกและสงครามขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่อเราคิดแต่ “ตัวกูของกู” เอาตัวรอดด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ

ผู้เขียนคิดว่า ช่วงเวลานี้ คือช่วงเวลาที่สำคัญต่อมนุษยชาติในภาพรวมยิ่งกว่าช่วงเวลาใดในประวัติศาสตร์เท่าที่ผู้เขียนเรียนรู้มา อาจจะกล่าวได้ว่า ศตวรรษนี้ – ในความเห็นส่วนตัว – เป็นช่วงเวลาปฏิวัติเปลี่ยนแปลง (transformation) ของตัวเองเป็นปัจเจก พร้อมกับการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมโดยรวม นั่นคือเหตุผลที่ต้องมีชมรมจิตวิวัฒน์ขึ้นมาเพื่อการก้าวย่างสู่กระบวนทัศน์ใหม่ที่มีจิตวิญญาณเป็นศูนย์กลาง หรืออีกนัยหนึ่ง คือช่วงเวลาที่จะตัดสินการอยู่รอด (เท่าที่เหลือ) และศักยภาพของความเป็นมนุษย์ “ผู้ประเสริฐ” เพื่อพิสูจน์ว่า ด้วยกระบวนการวิวัฒนาการของจักรวาล – ที่มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น – มนุษยชาติและวิวัฒนาการทางจิตจะเป็นไปตามสเปคตรัมของจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality) และไล่สูงขึ้นไปจนถึงนิพพานอันเป็นเป้าหมายสุดท้ายของจักรวาลอย่างไร?

นั่นคือ มนุษยชาติกับจักรวาลจะต้องอยู่คู่กันเสมอ โดยอย่างหนึ่งอย่างใดจะขาดหายไปไม่ได้ ซึ่งตรงกับทางแควนตัมฟิสิกส์ข้อหนึ่งที่นักฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ในปัจจุบันหลายคนเชื่อ (Anthropic Cosmological Principle) – ดังที่ เวสล่า ซิมมิก และโทเบียส โบดีน บรรณาธิการแห่งชิฟท์รายงานไว้ (The 2007 Shift Report: Evidence of a World Transforming) – โดยพูดว่า “กระบวนทัศน์ที่กำลังโผล่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส์) แห่งยุคใหม่ เท่าๆ กับได้รากฐานมาจากความรู้เร้นลับ (mysticism) ของศาสนาที่อุบัติขึ้นจากตะวันออก (เช่น พุทธศาสนาของเรา) ซึ่งทั้งฟิสิกส์ใหม่และความรู้เร้นลับต่างก็ให้ความจริงแท้หรือสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยมีนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ หรือแม้แต่สาธารณชนทั่วไปหันมาสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วทุกวัน

Back to Top