มนุษย์ต่างดาวเป็นสุคติกว่าเราเสียอีก



โดย ศ.นพ.ประสาน ต่างใจ
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 15 มกราคม 2554

พุทธศาสนาไม่ได้บอกเรื่องมนุษย์ต่างดาวเคยมาที่โลก แต่บอกว่าพรหมเป็นผู้ปกครองกาแลคซี่ เช่นท้าวมหาพรหมเป็นผู้ปกครองจุลกนิกะ โลกธาตุซึ่งเป็นกลุ่มกาแลคซี่ (cluster of galacxies) ขนาดเล็กเท่านั้น ถ้าหากเป็นกลุ่มของกาแลคซี่ที่ใหญ่กว่านั้น ผู้เขียนคิดว่าคงจะเป็นอรูปพรหมที่ปกครอง พุทธศาสนายังกล่าวถึงพรหมวิมานซึ่งเป็นสถานที่อุบัติของพรหมซึ่งเป็นเรื่องของลัทธิพระเวท ที่ต่อมาพระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วยว่าพรหมเกิดจากความปรารถนาความหลากหลายซึ่งไม่เป็นธรรมชาติของวิวัฒนาการ แอริช วอน ดานิเกนส์ ได้พิมพ์หนังสือจำหน่ายรวมทั้งหมดถึงกว่า ๓๐ ครั้งจำนวนกว่า ๓ ล้าน ๕ แสนเล่มมีชื่อว่า“วิมานของเทวดา” (Erich Von Danikens: Chariots of the Gods?, 1973) ว่าเทวดาได้มาเยี่ยมเยียนโลกเราโดยวิมาน (UFO) มาตั้งแต่ก่อนมีโฮโม ซาเปี้ยนส์เสียอีก แต่คริสต์ศาสนามี ซึ่งผู้เขียนภาพวาดหลายภาพมียูเอฟโอที่หน้าตาเหมือนกับยูเอฟโอทั่วไปของทุกวันนี้ เมื่อไม่กี่วันนี้ลูกชายของผู้เขียนได้เอารูปจานบินที่ถ่ายด้วยกล้องของดาวเทียมมาให้ถึงหกลำ บทความของวันนี้จะมองในอีกแง่หนึ่ง คือมองว่าสิ่งมีชีวิตที่มีรูปกายคล้ายๆ กับมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาวที่ผู้เขียนเชื่อว่ามีอย่างแน่นอนนั้น เมื่อตายไปแล้ว ก็ย่อมจะไปสู่สุคติได้ และได้เหนือกว่ามนุษย์ในโลกนี้เสียอีก ทั้งนี้แล้วแต่กรรมจะกำหนด เพราะผู้เขียนเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวอย่างน้อยจำพวกหนึ่ง อยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจรภูมิ

แต่ถ้าให้พูดอย่างหมดเปลือกจริงๆ เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่พุทธศาสนาถือว่าเป็นการเกิดใหม่ที่เป็น“สุคติ” หรือมีวิถีชีวิตที่จะรู้จักความสุขบ้าง แม้จะเป็นความสุขที่ส่วนใหญมากๆ มักจะไม่สมบูรณ์ เพราะเป็นความสุขทางกายภาพนำ ที่ตัวเองก็ไม่รู้และคิดว่าคือความสุขที่แท้จริง มีน้อยคนนักที่รู้ความสุขสองด้าน นั่นคือความสุขทางกายภาพและทางจิตภาพ แทบจะรู้สึกว่ามาพร้อมๆ กัน แต่จริงๆ แล้วโดยมีที่จิตก่อนและมีจิตนำ นั่นคือความสุขที่สมบูรณ์และที่มีปีติหรือความซาบซ่านเป็นหัวหอก (blissful happiness) ซึ่งผู้ปฏิบัติสมาธิแทบทุกคนรู้จักดี แต่มีบางคนที่ไม่มีปีติเลยก็ได้ นอกจากนี้ สุคติซึ่งเป็นการเกิดมาบนโลกนี้ของมนุษย์นั้น จะมีทางเลือกวิถีชีวิตของตัวเอง คือสามารถจะเลือกเส้นทางของจิตที่ดีงามอันเป็นเส้นทางแห่งจิตวิญญาณที่จะนำไปสู่สวรรค์หรือนิพพานได้ หรือเส้นทางแห่งความเลวร้ายที่จะนำไปสู่อบายหรือนรกได้ ซึ่งภพภูมิอื่นๆ ไม่มีทางเลือกเช่นนี้ การมีทางเลือกเช่นว่านี้ ทำให้ - นอกจากมนุษยภูมิซึ่งทางพุทธศาสนาถือว่าเป์นภพภูมิแหงกาม เฉกเช่นสวรรค์ระดับล่างสุดๆ หรือชั้นระดับกามาวจรภูมิที่ถือว่าเป็นสุคติภูมิแล้ว ยังทำให้ผู้เขียนมีความสงสัยว่ากามาวจรภูมิจะเป็นภูมิที่มีภพเช่นโลกเราหรือดาวเคราะห์ในกาแลคซี่ทางช้างเผือกเราหรือไม่? หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นมนุษย์ต่างดาวประเภทหนึ่งหรือไม่? ความสงสัยที่น่าเชื่อว่าอาจเป็นเช่นนั้นก็ได้ คือมีรูปกายอยู่ภายนอกและมีจิตอยู่ภายในหรือไม่? ทั้งนี้ น่าจะยกเว้น โดยเฉพาะภูมิหรือสวรรค์ที่ไม่มีรูป (อรูปพรหม) ทั้งหลายซึ่งท่องเที่ยวไปด้วยจิต (psychological) ที่ผู้เขียนเคยเขียนลงในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ในเรื่อง “ประสบการณ์ใกล้ตายที่เป็นลบ” (FNDEs ซึ่งเป็นลบหรือ negative) ที่เป็นเสมือนนรก พุทธศาสนาสายทิเบตก็บอกว่า นรกน่าจะเป็นเหมือนๆ กับสวรรค์ชั้นพรหม คือเป็นการท่องเที่ยวไปด้วยจิต หรือเป็นความรู้สึกด้วยจิต อาจไม่ใช่เรื่องทางกายที่เราเชื่อๆ กันก็ได้

ในสมัยโบราณ เราจะเห็นว่า วิวัฒนาการของจิต - ที่จริงๆ แล้ว ผู้เขียนคิดอย่างแน่ใจว่า คือการบริหารจิตไรัสำนึกของจักรวาลหรือจิตจักรวาลของ คาร์ล กุสต๊าฟ จุง (universal unconscious continuum) เป็นจิตรู้หรือจิตสำนึกของคนแต่ละคนโดยสมอง - ดังที่ผู้เขียนได้บอกไปแล้วหลายครั้ง และจะย้ำอีกเพราะมันสำคัญมากๆ สมองนั้นสำคัญเหลือเกิน แต่สมองก็ไม่ใช่จิต ทั้งจิตก็ไม่ใช่การทำงานที่ซับซ้อนของสมอง (epiphenomenon) และจิตรู้หรือจิตสำนึกนั่นเองที่มีวิวัฒนาการไปตามเสปคตรัม (spectrum of consciousness) จิตสำนึกที่ทางศาสนาพุทธเรียกว่าวิญญานขันธ์ที่มีห้าที่รวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการ “รู้” (cognition) ซึ่งนอกจากจะเป็นจิตสำนึกที่รู้แล้ว (ยามปกติ) แต่จิตไร้สำนึก (ยามไม่ปกติ เช่น อภิญญา (ESP) หรือการรู้ในปรภพ) รู้ได้โดยไม่ใช้สมองที่ คาร์ล จุง ก็เชื่อเช่นนั้น (unconsciousness cognition) ฉะนั้น วิวัฒนาการของจิตตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ามาแล้ว คนโบราณจึงมักจะเทียบกับสีต่างๆ ของสายรุ้ง ซึ่งมี ๗ สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง นั้น – นับจากบนหรือสูงสุดลงมา แต่จะบวกสีสุดท้ายหรือสุดยอดเหนือสีม่วงเป็นสีขาวนวลหรือสีเหลืองที่กระจ่างใสซึ่งเป็นสีของพระเจ้าหรือพุทธะ (Buddhahood) แสดงถึงความจริงที่แท้จริง (Supreme Reality) แต่ผู้เขียนคิดว่า เราอย่าไปหลงสีต่างๆ จะดีกว่า เพราะเราอาจจะสับสน อย่าลืมว่าสีต่างๆ ที่ แคลร์ เกรฟ (ตายแล้ว) และ ดอน เบ็ค ใช้ในสไปรัลไดนามิกส์ (spiral dynamics) นั้นได้สีต่างๆ จากการถ่ายรูปออร่า (aura) ซึ่งมีสีต่างกันไปเล็กน้อย

มนุษย์นั้นนอกจากคุณสมบัติที่กล่าวมาแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่ทางวิชาการถือว่ามีศักยภาพที่แทบจะไม่มีขอบเขต ดูได้จากความคิดคำนึงจินตนาการดังที่ไอน์สไตน์ว่าไว้ว่า ความรู้กับสติปัญญาความฉลาดนั้นไม่สำคัญหากเทียบกับจินตนาการ เพราะว่าจินตนาการสามารถเดินทางไปรอบโลกได้ในทันทีทันใด จนมีผู้กล่าวว่าไม่มีอะไรที่มนุษย์จะทำไม่ได้ และนั่น - ทำให้มนุษย์ในอดีต เช่น ฟรานซิส เบคอน นักปราชญ์ผู้ทรงอิทธิพลยิ่งเมื่อ ๕๐๐ ปีก่อน และมนุษย์ทั้งยุโรปในเวลานั้น ได้พากันหลงตัวเอง (narcissism) อย่างน่าเกลียด จนกระทั่งมีบางคนที่มีจำนวนไม่น้อยในทุกวันนี้ (ราวๆ ร้อยละ ๕ - ๑๕) - โดยเฉพาะคนในประเทศด้อยพัฒนาที่ด้อยการศึกษา - ไม่สามารถจะมีวิวัฒนาการตามธรรมชาติได้ตามปกติเหมือนเพื่อนเขา ซึ่งมีวิวัฒนาการสูงถึงขั้นระดับตัวตนและเหตุผล (self – rational) อันเป็นระดับชั้นที่คนส่วนใหญ่มีอยู่ในปัจจุบัน คนจำพวกนี้จะยังคงอยู่ระดับหรือชั้นแห่งการเจริญเติบโตวิวัฒนาการในขั้นต่ำที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ (mythic) นั่นคือ ยังอยู่ที่นิยายจักรๆ วงศ์ๆ คนจำพวกนี้ คือพวกผู้คลั่งชาติ คลั่งศาสนา (fundamentalist) บ้าสี บ้าเข็มขัด หรือเครื่องหมายที่ตนสังกัดอยู่ (membership) ซึ่งเหตุผลเป็นเรื่องรองๆ

ทำไม? มนุษย์ถึงต้องเป็นเช่นนั้น? เพราะอะไรหรือ? เราถึงต้องเจริญเติบโตวิวัฒนาการเป็นขั้นเป็นตอน นั่นชี้บ่งว่าเป็นจิตที่คุมกายและพฤติกรรมทั้งหมด จริงๆ แล้วเกิดมาเป็นสัตว์โลก ที่รวมทั้งมนุษย์แล้ว ไม่ว่าอะไรจะต้องขึ้นอยู่กับจิตทั้งหมดเลย หรือว่าเพราะมีจิต สัตว์โลกทั้งหลายโดยเฉพาะมนุษย์ จึงต้องเรียนรู้ไปตามลำดับ? เราไม่รู้คำตอบเหล่านี้ซึ่งไม่ง่ายเลย แต่น่าจะอยู่ที่จิตไร้สำนึกหรือจิตจักรวาล ที่สมองจะบริหาร/เปลี่ยนแปลงเป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้รูปแบบต่างๆ ไปตามเสปคตรัม เช่น ความคิด อารมณ์ ที่ต้องรอคอยช่วงเวลาในการวิวัฒนาการไปตามช่วงหนึ่งๆ ให้เปลี่ยนแปลง คือรอให้จิตไร้สำนึกของจักรวาลที่ว่านั้นให้เป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้เสียก่อน? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ รูปและช่วงเวลาหรือวัยและอายุก็มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งกับมนุษย์และจักรวาลที่มีรูปมีกายทั้งสองชนิดเลย และวิวัฒนาการก็คือ วัย หรือช่วงเวลาโดยธรรมชาติของจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในกายหรือสมองของมนุษย์ (self) ที่จะรอการเปลี่ยนแปลงเป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้เท่านั้น มนุษย์จึงมีความสำคัญที่สุดในประเด็นของการเรียนรู้เฉพาะด้านวิวัฒนาการ สำคัญกว่าภพภูมใดๆ ทั้งสิ้นในประเด็นนี้ ส่วนประเด็นของความทุกข์หรือความสุขที่แท้จริงเป็นคนละประเด็น “สุคติคือภพภูมิของการเรียนรู้และวิวัฒนาการ” ที่สุดท้ายแล้วจะต้องเป็นบูรณาการ และนั่นคือสิ่งที่ผู้เขียนคิดมาตลอดถึงเหตุผลที่ต้องเกิดมาเป็นมนุษย์เท่านั้นถึงจะมีสิทธิที่จะเลือกเส้นทางแห่งสภาวะจิตวิญญาณอันเป็นบูรณาการ ซึ่งก็คือนิพพานนั่นเอง

“สุคติ” นั้นคือวิถีชีวิตที่ดีซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับทุคติอันเป็นวิถีชีวิตอันได้แก่อบายทั้งหมด อย่างไรก็ตาม มนุษย์และเทวดาระดับล่าง หรือกามาวจรภูมิที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นภพภูมิของมนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในสวรรค์ชั้นล่างที่สุดที่มี ๖ ชั้น เพราะว่ายังเกี่ยวข้องกับกามและคิดว่าตนมีหนทางที่จะเลือกทางเดินของตน มีทางเลือกของตนนั้น ผู้เขียนคิดเอาเองว่ามนุษย์และเทวดาหรือมนุษย์ต่างดาวที่คิดว่าตนเป็นผู้เลือกนั้น สุคติจึงน่าเป็นดาวเคราะห์ดวงไหนก็ได้ เพราะเป็นกามาวจรภูมิเหมือนกัน จริงๆ แล้วล้วนแล้วแต่กำหนดด้วยการกระทำหรือกรรมของสัตว์โลกหรือมนุษย์ทั้งสิ้นไม่ว่ามนุษย์นั้นๆ จะเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือไม่? เพราะทั้งมนุษย์และเทวดาระดับล่างนั้นๆ ต่างก็มีทั้งจิตที่เป็นกุศล และจิตที่เป็นอกุศลเท่าๆ กัน ต่างก็มีกรรมที่เป็นของตนเองและกรรมร่วมโดยรวม โดยเฉพาะในชั้นล่างๆ เช่นชั้นหรือระดับที่มีสี่กษัตริย์ปกครอง (จาตุมหาราชา) ชั้นหรือระดับที่มีกษัตริย์เป็นเทพ - อสูร แต่ชั้นหรือระดับที่อยูสูงกว่าจะมีจิตที่เป็นกุศล (กุศลจิต) มากขึ้นเรื่อยๆ (อภิธรรมมัตสังคาหะ) นั่นบ่งชี้ว่าทำไม? ยูเอฟโอจึงพบบ่อยขึ้นในโลกในปัจจุบัน

มนุษย์ในโลกนั้นหรือมนุษย์ต่างดาวเกิดอยูในสุคติก็จริง แต่ “มีที่มา” ไม่เหมือนกัน ที่มนุษย์จึงมีหลายๆ ที่มา บางคนจึงสงสัยและมักถามว่า ประชากรโลกมาจากไหนถึงได้มีมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ หมูเห็ดเป็ดไก่มาจากไหน คนจึงกินไม่หมดสักทีทั้งๆ ที่ประชากรของโลกเพิ่มทวีมากขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ก็ขอตอบรวมกันเสียเลยว่า จักรวาลนี้จักรวาลเดียวมีคลื่นอนุภาคถึง ๑๐ ยกกำลัง ๘๐ - ซึ่งเมื่อสภาพคลื่นได้สลายตัว (wave-function collapse) ก็จะเหลืออนุภาคหรือสสารที่ประกอบเป็นวัตถุเนื้อเยื่อเต็มจำนวนนั้น - ทีนี้พุทธศาสนาบอกว่า ทุกๆ สิ่งทุกๆ ปรากฏการณ์ มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ล้วนประกอบด้วยรูปกับนามเท่านั้น และรูปกายของชีวิตทั้งหลายทั้งปวงวิวัฒนาการมาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต โดยมาจากจิตปฐมภูมิที่แยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดนั้น - โดยแควนตัมเม็คคานิกส์และพุทธศาสนาที่กล่าวเหมือนๆ กันว่า ได้มาจากความว่างเปล่าทางแควนตัม (quantum vacuum) หรือสุญตา เพราะฉะนั้น อะไรก็ตาม มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตตั้งแต่เม็ดกรวดเม็ดทราย พืชพันธุ์ต้นไม้ มดปลวกหรือแมลง จนกระทั่งกุ้งปลาลิงค่างบ่างชะนี ล้วนมีสิทธิที่จะมีวิวัฒนาการได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ ผู้ใดที่หลุดจากกรรมหรือใช้กรรมหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือนรกชั้นไหน ก็ย่อมจะเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อการเรียนรู้ และเพื่อแสวงหาจิตวิญญาณนิพพาน (spirituality-nirvanna) กันทั้งนั้น อย่าลืมว่าในทางพุทธศาสนานั้น การเกิดใหม่ ไม่ว่าในภพภูมิไหน? หรือภพไหน? หรือภูมิอะไร? ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงต่อเนื่องกัน ดังนั้น วิวัฒนาการไม่มีขาดตอน เพียงแต่การเจริญเติบโตวิวัฒนาการนั้น เป็นเรื่องของกายอย่างเดียวก็ได้ เป็นเรื่องของจิตอย่างเดียวก็ได้ หรือทั้งกายและจิตก็ได้ ดังนั้นสวรรค์ชั้นล่าง ชั้นกามาวจรภูมิ หรือมนุษย์ต่างดาวอย่างในบทความของวันนี้ ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำนั้นๆ

Back to Top