เมื่อนักวิทยาศาสตร์สนใจเรื่องสุขภาวะทางจิตวิญญาณ : เรื่องเล่าเร้าการเรียนรู้



โดย ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 29 มกราคม 2554

ปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่หันมาสนใจศึกษาค้นคว้าเรื่องจิตวิญญาณ เพราะวิทยาศาสตร์ให้คำตอบได้ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับวิถีการดำเนินชีวิตที่ดีงาม และจุดหมายของชีวิต นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ได้ฝึกฝน เรียนรู้การเข้าถึง เข้าใจ และพัฒนาสุขภาวะทางจิตวิญญาณ จากภูมิปัญญาตะวันออก และจากศาสนาต่างๆ แล้วนำมาเผยแพร่อย่างเป็นระบบ ศาสตราจารย์ ดร. โรเจอร์ วอลช์ (Roger Walsh) ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ดร.วอลช์ เป็นชาวออสเตรเลีย เกิดและเติบโตในในชนบทที่ห่างไกล ไม่มีภาพยนตร์ ไม่มีทีวีให้ดู แต่เป็นผู้ที่ชอบอ่านหนังสือ ในช่วงที่เป็นหนุ่ม ท่านเล่าเรียนและหลงไหลในวิทยาศาสตร์มาก ถือว่าวิทยาศาสตร์คือพระเจ้า ยอมศิโรราบให้กับนักวิทยาศาสตร์ เลื่อมใสในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ในช่วงนั้นท่านก็คิดเหมือนนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปว่า อะไรที่วัดไม่ได้ด้วยเครื่องมือและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่เลื่อนลอยไม่มีความหมาย

ดร. วอลช์ ใช้เวลาสิบกว่าปีในมหาวิทยาลัย ศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สะสมปริญญาบัตรในสาขาวิชาต่างๆ เช่นปริญญาตรีทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ (สรีรวิทยา) ประกาศนียบัตรบัณฑิตทางจิตวิทยา แพทยศาสตร์ และปริญญาเอกทางประสาทวิทยา ทั้งหมดจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ได้รับใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ จิตวิทยา และจิตแพทย์ ต่อมาย้ายไปอยู่และทำงานในอเมริกา เป็นอาจารย์ที่ภาควิชาจิตเวช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

ในช่วงแรกของการเป็นนักวิชาการ มีผลงานและเขียนตำราทางวิชาการเกี่ยวกับสมอง และพฤติกรรม เมื่อมีเวลาว่างก็จะล้อเพื่อนๆ ที่สนใจศาสนาว่าล้าสมัย

ต่อมาด้วยความสนใจความลึกลับของจิต ดร. วอลช์ย้ายไปอยู่ที่อเมริกาเพื่อทำวิจัยทางสมองและจิตแพทย์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ท่านได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้ป่วยทางจิต ยิ่งทำให้ท่านสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับเรื่องภายในของจิตมากขึ้น ด้วยการเอาตัวเองเข้าไปรับการรักษาทางจิต (จิตบำบัด) ในฐานะคนไข้ เพื่อเรียนรู้เรื่องการหยั่งรู้ภายใน และจากการเรียนรู้ และมีประสบการณ์ทางจิตบำบัด ยิ่งทำให้ท่านสนใจเรื่องมิติภายในเพิ่มขึ้น

เมื่อพิจารณาและเรียนรู้จิตใจของตนเองอย่างใคร่ครวญมากขึ้น ก็ทำให้รู้ว่าจักรวาลภายในนั้นยิ่งใหญ่และลึกลับเช่นเดียวกับจักรวาลภายนอก ในช่วงแรกๆ ของการศึกษาเรื่องภายในนี้ ท่านเกิดภาวะช็อคที่ตื่นเต้นสุดในชีวิต เพราะโลกภายใน ไม่ว่าจะเป็นความคิด การฝันเฟื่อง จินตภาพ การหยั่งรู้ อารมณ์และแรงจูงใจ มีความหลากหลายที่น่าทึ่ง ไม่เคยตระหนักรู้มาก่อน ทั้งๆ ที่โลกภายในเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เข้าใจจิตและตนเอง ให้แนวทางในการดำเนินชีวิตที่ประมาณค่าไม่ได้ ท่านยอมรับว่าท่านตามืดบอดเกี่ยวกับตัวเองมาตลอด และพบว่าคนอื่นๆ ก็มืดบอดเกี่ยวกับตนเองเช่นกัน

ในการเริ่มต้นศึกษาสำรวจโลกภายในนี้ ท่านเริ่มจากการการทดลองฝึกสมาธิหลากหลายรูปแบบ และพบว่าการฝึกสมาธิมีพลังมากในการฝึกจิต และพัฒนาด้านความสงบเย็น มีสมาธิ รู้สึกไว และตระหนักรู้ในตนเอง

การฝึกสมาธิช่วยทำให้ตระหนักถึงและเข้าใจความลึกซึ้งของจิต ซึ่งเดิมเคยคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่สำคัญ แต่กลายเป็นเรื่องใหญ่และลึกลับซับซ้อนมากกว่าที่คิด

ในช่วงของการฝึกปฏิบัติเหล่านี้ ท่านมีความรู้สึกตื่นเต้นระคนกับความเจ็บปวดลึกๆ กับความรู้สึกที่ว่าตนเองเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่มานั่งสมาธิซึ่งเป็นเทคนิคทางศาสนาและโบราณ ความสับสนทางความคิดลักษณะนี้ดำรงอยู่เป็นเวลาหลายเดือน

จนมาวันหนึ่ง ที่กำลังเตรียมตัวจะกินอาหารเย็น ท่านเดินออกจากห้องนอนเพื่อจะไปห้องน้ำ เดินไปโดยไม่คิดอะไร ขณะที่เปิดประตูห้องน้ำ ก็เกิดแสงสว่างแห่งความเข้าใจแว้บเข้ามา และกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตที่สำคัญของท่าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ท่านปิ๊งแว้บขึ้นมาว่า ใจกลางของการศึกษาจิตวิญญาณของศาสนาใหญ่ๆ ทั่วโลก จะมีแกนร่วมของแนวปฏิบัติในการฝึกและพัฒนาจิต และแนวปฏิบัติเหล่านี้จะนำไปสู่ผลทำนองเดียวกัน คือความลุ่มลึกและความลึกซึ้งของสภาวะของจิต และคุณภาพหรือคุณสมบัติที่สำคัญของจิต คือความรัก (Love) และปัญญา (Wisdom) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ให้กำเนิดศาสนาต่างๆ ค้นพบมาตั้งนาน

ความเข้าใจที่ลุ่มลึกใหม่นี้ทำให้ท่านเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของท่านไปโดยสิ้นเชิง ท่านเริ่มดื่มด่ำกับการศึกษาศาสนาและแนวทางการปฏิบัติด้านจิตวิญญาณ โดยเริ่มจากทางด้านเอเชีย เรียนรู้และฝึกสมาธิแบบพุทธ โดยฝึกฝนอย่างจริงจังเต็มเวลาเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากนั้นก็ท่องไปในโลกกว้างเพื่อค้นหาผู้รู้ ศึกษากับนักเทววิทยา นักปรัชญา ท่านศึกษาอย่างกระหายหิวเกี่ยวกับคำสอนของศาสนาพุทธ ขงจื๊อ เล่าจื๊อ และผู้รู้อื่นๆ

หลังจากนั้นสองสามปี ดร. วอลช์ก็เริ่มกลับมาสำรวจความเชื่อพี้นฐานดั้งเดิมของตนเอง คือศาสนาคริสต์ และได้ค้นพบด้วยความตื่นเต้นว่า สามารถค้นพบความลุ่มลึกของปัญญาที่ปรากฏในคำสอนของศาสนาคริสต์ที่ท่านไม่เคยเข้าใจมาก่อนได้

ในอดีตศาสนาคริสต์สำหรับท่านก็เป็นเพียงแค่ประเพณีปฏิบัติ มีโรงเรียนวันอาทิตย์ และไปเข้าโบสถ์ตามปกติ แต่ในปัจจุบัน ท่านได้ค้นพบแนวปฏิบัติทางจิตวิญญาณ และจิตตปัญญาญาณ (Contemplative Wisdom) ที่มีมากว่าสองพันปีของคริสต์ศาสนา ซึ่งมีชาวคริสต์จำนวนน้อยที่รู้ และในปัจจุบันท่านยังคงปฏิบัติตามแนวจิตตปัญญาของคริสต์เป็นประจำ ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังได้เข้าไปศึกษาศาสนาอื่นๆ อีกเช่น ยิว อิสลาม และลัทธิเก่าแก่ เช่น ชามันนิสม์ และได้เขียนหนังสือชื่อ The Spirit of Shamanism

จากประสบการณ์ที่ลุ่มลึกและหลากหลาย ท่านได้สรุปและเขียนไว้ในหนังสือชื่อ Essential Spirituality ว่ามีแกนปฏิบัติร่วมของทุกศาสนาอยู่ ๗ ประการ จะเริ่มจากเรื่องใดก่อนก็ได้ ทั้งหมดจะนำไปสู่การมีสุขภาวะทางจิตวิญญาณในท้ายที่สุด การฝึกปฏิบัติ ๗ ประการได้แก่ ความกรุณา (Kindness) การเรียนรู้และการให้ความรัก (Love) การฝึกสมาธิและการสงบสุข (Peace) การมองเห็นและการยอมรับในความศักดิ์สิทธิ์ของสรรพสิ่ง (Spiritual Vision) การพัฒนาปัญญาและความเข้าใจในชีวิต (Wisdom) ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (Generosity) และการมีปิติสุข (Joy) ในการทำความดีและการบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์

บทเรียนจากชีวิตจริงของ ดร.วอลช์ น่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่เสาะแสวงหาวิถีสู่การมีสุขภาวะทางจิดวิญญาณ เพราะวิถีของโลกกระแสหลักดูเหมือนจะนำไปสู่ทุกขภาวะทางจิตวิญญาณ

Back to Top