เราทุกคนคือลูกเทพ



โดย ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2559

คืนวันหนึ่ง ฉันได้ดูรายการโทรทัศน์ที่เชิญคนหลากหลายมาแสดงทัศนะเรื่องตุ๊กตาลูกเทพ มีทั้งคนที่เห็นด้วย เพราะได้รับประโยชน์จากการเลี้ยงลูกเทพ และไม่เห็นด้วยเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งงมงาย จนไปถึงจิตแพทย์ที่ต้องตอบคำถามว่าคนคุยกับตุ๊กตานั้น “บ้าหรือเปล่า” แน่นอนว่าทัศนะในเรื่องนี้มีหลากหลาย แต่ในวงสนทนาดูจะเข้าใจประเด็นหนึ่งร่วมกันว่า ปรากฏการณ์ลูกเทพนั้นเกิดขึ้นเพราะคนขาดที่พึ่งทางใจ จึงหาสิ่งยึดเหนี่ยวด้วยการเลี้ยงลูกเทพ

แทนที่เราจะไปตัดสินว่าคนที่เชื่อเรื่องนี้ “งมงาย” หรือ “บ้าไปแล้ว” เราสามารถทำความเข้าใจได้ว่าปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์เราต่างก็ต้องการความมั่นคงทางจิตใจกันทั้งนั้น เพียงแต่วิธีการที่แต่ละคนใช้นั้นแตกต่างกันไป ในความคิดของฉันแล้ว คนที่เลี้ยงลูกเทพ น่าจะมีความปรารถนาลึกๆ ที่จะแสวงหาความมั่นคงในจิตใจด้วยการเชื่อมต่อกับเทพ พูดคุยกับเทพได้อย่างใกล้ชิดสนิทสนม จับต้องเทพอย่างเป็นตัวเป็นตนได้จริงๆ รวมทั้งได้รับความช่วยเหลือให้ชีวิตดีขึ้น ความปรารถนาเช่นนี้เป็นสิ่งที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาจิตใจได้

ช่วงเดียวกับที่กระแสลูกเทพมาแรง ฉันได้ฟังธรรมะจากท่านรินเชน พุนซก พระลามะทิเบตที่เดินทางมาสอนธรรมะในเมืองไทยอยู่ในขณะนี้ ท่านลามะรินเชน เล่าตัวอย่างของคนคนหนึ่ง ที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าจะเชื่อมต่อกับเทพ จนในที่สุดได้พบเทพจริงๆ ได้พูดคุย สัมผัส และได้รับความช่วยเหลือให้พัฒนาจิตใจอย่างไม่มีประมาณ จนท่านสามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์คนอื่นได้เช่นกัน คนคนนี้คือ ท่านอสังคะ พระอาจารย์องค์สำคัญในสายมหายาน

ท่านอสังคะเป็นพระที่มีศรัทธาในพระอริยเมตไตรยเป็นอย่างยิ่ง ท่านตั้งใจจะฝึกฝนจิตตนให้บรรลุถึงพระอริยเมตไตรย จึงไปปฏิบัติธรรมอยู่ในถ้ำนานถึง ๓ ปี แต่ว่าเมื่อครบ ๓ ปีแล้ว ท่านไม่รู้สึกว่าได้รับอะไรจากการฝึกเลย จึงล้มเลิกการฝึกแล้วออกจากถ้ำ

ท่านเดินทางมาจนเจอชายชราผู้หนึ่งกำลังฝนแท่งเหล็กแท่งใหญ่ด้วยผ้า ด้วยความสงสัย ท่านอสังคะจึงถามชายชราว่ากำลังทำอะไรหรือ ชายชราตอบว่ากำลังฝนแท่งเหล็กนี้ให้เป็นเข็ม คำตอบนี้ทำให้ท่านอสังคะคิดได้ว่า ชายชรานี้มีความเพียรมากจริงๆ เราควรมีความเพียรในการฝึกปฏิบัติให้มากกว่านี้ ว่าแล้วท่านก็กลับเข้าถ้ำ ฝึกปฏิบัติต่อไปอีก ๓ ปี


เมื่ออีก ๓ ปี ผ่านไป ท่านอสังคะพบว่าตนเองยังไม่พัฒนาไปไหนเลย ท่านจึงท้อใจ ออกจากถ้ำอีกครั้ง ขณะเดินออกมา ท่านสังเกตเห็นนกตัวหนึ่ง ทำรังอยู่ใกล้ก้อนหิน ขณะที่จะบินเข้ารัง ต้องลอดก้อนหินเข้าไป นกคงบินผ่านหลายครั้งมาก จนขนนกทำให้เกิดรอยบนหิน ท่านอสังคะได้คิดว่า นี่ขนาดขนนกที่มีความนุ่มมาก ยังสามารถทำให้เกิดรอยบนหินได้เมื่อบินเข้าออกหลายครั้ง เราไม่ควรล้มเลิกความเพียรเช่นนี้เลย ท่านจึงกลับเข้าถ้ำไปปฏิบัติต่ออีก 3 ปี

หลังจาก ๓ ปี ผ่านไป ท่านก็ยังไม่พบพระอริยเมตไตรย ท่านจึงท้อใจอีกครั้ง และล้มเลิกการปฏิบัติ เดินออกจากถ้ำไป ขณะเดินทาง ท่านได้ยินเสียงน้ำหยด เมื่อมองดูก็พบว่า น้ำหยดลงบนหิน จนเกิดแอ่งขนาดใหญ่ ท่านจึงคิดได้อีกครั้งว่า แม้แต่น้ำซึ่งเบามาก เมื่อหยดไปนานๆ ยังสามารถทำหินให้เป็นแอ่งได้ขนาดนี้ ท่านจึงคิดได้ว่าควรตั้งใจพากเพียรฝึกฝนต่อไป ดังนั้น ท่านจึงกลับเข้าถ้ำไปฝึกฝนอีก ๓ ปี

หลังจากฝึกมารวมเวลาทั้งหมด ๑๒ ปี ท่านก็ยังไม่ได้พบพระอริยเมตไตรย ท่านจึงล้มเลิกความตั้งใจอีกครั้ง แล้วออกจากถ้ำ ครั้งนี้ ท่านเดินออกมาพบสุนัขตัวหนึ่งกำลังบาดเจ็บมาก ช่วงครึ่งตัวหลังเน่าเละเต็มไปด้วยหนอน เหลือเพียงขาหน้าเท่านั้นที่ยังดีอยู่ ท่านเกิดความกรุณาต่อสุนัขที่เจ็บปวดนี้อย่างยิ่ง จนอยากจะช่วยเหลือโดยเอาหนอนออกจากบาดแผลให้ แต่ว่าถ้าหากหยิบหนอนออกมาแล้ว หนอนก็จะไม่มีอาหารกิน และจะเป็นทุกข์เช่นกัน ท่านจึงเฉือนเนื้อท่อนขาของตัวเองออกมาเพื่อเป็นอาหารให้หนอน

แต่ท่านคิดต่อว่า ถ้าใช้มือหยิบหนอนออก สุนัขก็จะเจ็บแผลเพราะนิ้วนั้นไม่อ่อนนุ่ม ท่านจึงตั้งใจจะใช้ลิ้นตัวเองเลียเอาหนอนออกมาจากแผลเน่าของสุนัข ขณะที่ท่านหลับตาแลบลิ้นแล้วก้มลงจะเลียหนอน ลิ้นกลับไม่สัมผัสตัวสุนัข แต่สัมผัสไปถึงพื้นดิน ทันใดนั้น ท่านก็เห็นแสงสว่างกระจ่างจ้า สุนัขกลายร่างเป็นพระอริยเมตไตรยมาปรากฏเบื้องหน้าท่านแล้ว

ด้วยความคับข้องใจมาตลอด ๑๒ ปี ท่านอสังคะกล่าวตัดพ้อกับพระอริยเมตไตรยว่า “ทำไมท่านจึงเพิ่งมาปรากฏกายในตอนนี้ ข้าฝึกฝนอย่างยากลำบากมาเป็นเวลานาน ทำไมท่านจึงไม่มาหาข้าเลย” พระอริยเมตไตรยตรัสตอบว่า “เราอยู่กับเจ้ามาตลอด แต่เจ้ามองไม่เห็นเราเอง เราเป็นชายชราที่ฝนแท่งเหล็กนั้น นกในรังก็คือเรานี่เอง บัดนี้ ความกรุณาของเจ้าที่มีต่อสุนัข ได้ปลดเปลื้องกรรมที่บังตาเจ้าไว้แล้ว เจ้าจึงได้เห็นเรา ถ้าเจ้ายังไม่เชื่อในสิ่งที่เราพูดอีก ก็ลองแบกเราไปให้ผู้คนดูสิ”

ท่านอสังคะจึงแบกพระอริยเมตไตรยเข้าไปหาผู้คน แล้วถามว่า “เจ้าเห็นไหมว่าข้าแบกอะไรมา” แต่ละคนได้ฟังแล้วก็หัวเราะกล่าวว่า “ไม่เห็นเจ้าแบกอะไรมาเลยนี่” จนท่านอสังคะไปเจอหญิงชราผู้หนึ่ง จึงถามด้วยคำถามเดียวกัน หญิงชราตอบว่า “เจ้าแบกหมาเน่ามา” ด้วยเหตุนี้เอง ท่านอสังคะจึงตระหนักรู้ได้ว่า กรรมของแต่ละคนนั้น ส่งผลต่อการเห็นองค์เทพจริงๆ

ในที่สุด ท่านอสังคะก็ได้ขึ้นไปบนสวรรค์และเรียนคำสอนโดยตรงจากพระอริยเมตไตรย แล้วกลับลงมาเผยแพร่ธรรมะที่ได้รับมาให้มวลมนุษย์

เมื่อจบการบรรยายธรรม มีคนถามท่านลามะรินเชนว่า จิตคืออะไร ท่านตอบด้วยคำจำกัดความสั้นๆ ว่า “ความกระจ่างชัดอันสว่างไสว”

ฉันกลับมาคิดต่อว่า รากศัพท์ของคำว่า “เทพ” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า “แสงสว่าง”

ด้วยความหมายนี้ มีใครบ้างเล่าที่ไม่ใช่ลูกเทพ ? จิตของเราทุกคนต่างก็มีธรรมชาติอันสว่างไสวเช่นนั้นอยู่แล้ว ความเชื่อทางศาสนาทั้งหลาย แม้จะใช้ภาษาแตกต่างกันไป ล้วนยืนยันว่า มนุษย์ต่างก็เป็น “ลูกเทพ” ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะใช้คำว่า เราทุกคนเป็น “พุทธบุตร” หรือในทางคริสต์ก็เน้นย้ำว่า เราต่างก็เป็น “บุตรพระเจ้า” ด้วยกันทั้งนั้น

เรื่องราวของท่านอสังคะให้บทเรียนว่า ด้วยศรัทธาอันแรงกล้าในองค์เทพและด้วยความเพียรจนถึงที่สุด มนุษย์เราสามารถพัฒนาตนเอง จนตระหนักถึงความกระจ่างชัดสว่างไสวในจิตตนได้ เมื่อถึงจุดนั้น เราจะสามารถเห็นภาวะของเทพได้ในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ในนก หรือแม้แต่ในหมาเน่าตัวหนึ่ง

Back to Top