ต่อยอดด้วยมิติทางจิตใจ

โดย พระไพศาล วิสาโล
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 22 พฤษภาคม 2547

พระชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อสิบกว่าปีก่อนสมัยที่สงครามในเขมรเพิ่งยุติใหม่ๆ ท่านกับเพื่อนๆ รวบรวมเงินได้หลายล้านเยนเพื่อจะนำไปช่วยเหลือชาวเขมรที่ประสบภัยพิบัติ เนื่องจากท่านต้องการให้เงินก้อนนี้เป็นประโยชน์แก่ผู้คนที่ทุกข์ยากจริงๆ จึงเดินทางไปพบปะกับชาวเขมรตามที่ต่างๆ ด้วยตนเอง

มีคราวหนึ่งท่านได้ไปเยี่ยมโรงเรียนแห่งหนึ่งในชนบท โรงเรียนแห่งนี้ขัดสนไปเกือบทุกอย่าง มีเพียงอาคารหลังเก่าๆ และบรรยากาศที่ดูเศร้าสร้อย ท่านได้ถามครูใหญ่ว่าอยากให้ท่านช่วยเหลืออะไรบ้าง ปรากฏว่าคำตอบที่ได้นั้น ไม่ใช่โต๊ะ เก้าอี้ กระดาน และเครื่องเขียน แต่ได้แก่ “เมล็ดพันธุ์และกล้าไม้ดอก”

พระญี่ปุ่นนึกไม่ถึงว่าจะได้คำตอบนี้ จึงถามถึงเหตุผล ครูใหญ่อธิบายว่า เด็กนักเรียนในโรงเรียนนี้ได้พบเห็นสงคราม การฆ่าฟันและการทำลายล้าง มาตั้งแต่เกิด เด็กเหล่านี้แทบจะไม่เห็นอะไรที่ดีๆ เลยในชีวิต จิตใจจึงหดหู่แห้งแล้ง ครูใหญ่เห็นว่าสิ่งสำคัญอย่างแรกที่เด็กๆ ต้องการก็คือ ความสดใสงดงามและความชื่นบาน ครูใหญ่เชื่อว่าดอกไม้ที่เบ่งบานไปทั่วโรงเรียนจะช่วยให้เด็กกลับมีความหวังและความเบิกบานขึ้นใหม่

พระญี่ปุ่นท่านนี้บอกว่าฟังแล้วก็รู้สึกละอายใจที่นึกถึงแต่วัตถุ ตัวเองเป็นพระแท้ๆ แต่ไม่ได้นึกถึงเรื่องของจิตใจเลย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อท่านกลับไปญี่ปุ่น ได้ส่งเงินไปให้โรงเรียนซื้อเมล็ดพันธุ์และกล้าไม้ตามต้องการ ไม่นานโรงเรียนแห่งนั้นก็สะพรั่งด้วยดอกไม้ ทั้งดอกไม้บนพื้นดินและดอกไม้ในใจเด็ก

ใช่หรือไม่ว่าคนส่วนใหญ่ก็คิดแบบพระญี่ปุ่นท่านนี้ (ในตอนแรก) ดูเหมือนจะเป็นสูตรสำเร็จไปแล้วว่าหากเจอโรงเรียนเก่าๆ ที่ยากจน ก็ต้องนึกถึงโต๊ะ เก้าอี้ และเครื่องเขียน (จะให้ทันสมัยหน่อยก็ต้องพ่วงคอมพิวเตอร์ไปด้วย) เป็นอันดับแรก ส่วนสิ่งที่จะบำรุงจิตใจนั้นเอาไว้ท้ายๆ หรือไม่ก็ลืมไปเลย

การเน้นวัตถุแต่มองข้ามจิตใจ มิเพียงสะท้อนให้เห็นจากค่านิยมของโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศที่แข่งกันทำป้ายชื่อโรงเรียนขนาดยักษ์และรั้วราคาแพงๆ ในขณะที่คุณธรรมและความรู้ของนักเรียนกลับตกต่ำอย่างน่าเป็นห่วงแล้ว เรายังพบทัศนคติอย่างนี้ไปทุกวงการแม้กระทั่งวงการศาสนา

มิติทางจิตใจนับวันจะกลายเป็นส่วนเกินของชีวิตและกิจกรรมต่างๆ ในสังคมไปเสียแล้ว การทำมาหากินและการพัฒนาเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องของการหาเงินและเพิ่มรายได้ล้วนๆ จนเม็ดเงินกลายเป็นจุดหมายในตัวมันเอง วัฒนธรรมและประเพณีก็มิใช่อะไรอื่นหากคือสินค้าอีกอย่างหนึ่งที่สามารถดึงเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวได้เท่านั้น เวลารัฐบาลรณรงค์ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ผลเสียที่ยกมาย้ำเตือนให้ประชาชนตระหนักก็คือ ความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนหลายหมื่นล้านบาท ราวกับว่าความทุกข์ยากและความเศร้าโศกจากการสูญเสียชีวิตหรือพิการนั้นไม่มีความสำคัญพอที่จะกล่าวถึง

ความจริงแล้วมิติทางจิตใจไม่จำเป็นต้องแยกขาดจากชีวิตและกิจกรรมต่างๆ ในสังคมเลย กล่าวอีกนัยหนึ่งการให้ความสำคัญแก่จิตใจไม่ได้หมายความว่าต้องละทิ้งเรื่องวัตถุหรือเงินทอง เราสามารถทำอาชีพการงานเพื่อปากท้องควบคู่กับการสร้างความภาคภูมิใจให้แก่ตนเอง หรืออาจไปถึงขั้นพัฒนาคุณภาพจิตใจพร้อมๆ ไปกับการทำงานได้ ดังที่ท่านพุทธทาสภิกขุย้ำว่า “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม”

ในทำนองเดียวกันการพัฒนาเศรษฐกิจก็สามารถผนวกมิติทางด้านจิตใจเข้าไปได้ กล่าวคือแทนที่จะเน้นแต่เม็ดเงินอย่างเดียว ก็มุ่งนำโภคทรัพย์ที่ได้นั้นมาพัฒนาสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ที่ช่วยให้ผู้คนเอื้อเฟื้อต่อกันรวมทั้งมีชีวิตที่สงบสุขมากขึ้น วัตถุนั้นมิได้เป็นปฏิปักษ์ต่อจิตใจเสมอไป หากรู้จักใช้กลับก็มีประโยชน์ต่อจิตใจ ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงได้แนะให้สาวกของพระองค์รู้จักใช้โภคทรัพย์เพื่อ “ฝึกอบรมตน ทำตนให้สงบ ทำตนให้ดับเย็นสนิท”

เราสามารถต่อเติมมิติทางจิตใจหรือจิตวิญญาณเข้าไปแม้กระทั่งในกิจกรรมพื้นๆ ของชีวิต เช่น การกิน การหายใจ และการเดิน เวลากิน เราไม่เพียงบำรุงร่างกายเท่านั้น หากยังสามารถบำรุงจิตใจได้ด้วยหากกินอย่างมีสติ หรือกินโดยตระหนักถึงบุญคุณของสรรพชีวิต เช่นเดียวกัน เวลาหายใจ เราสามารถนำความสงบมาเลี้ยงจิตใจได้ด้วยหากมีสติกับการหายใจ เมื่อก้าวเดิน เราไม่เพียงแต่พาตัวให้ถึงเป้าหมายเท่านั้น หากยังสามารถนำพาจิตใจให้บรรลุถึงความรู้ตัวทั่วพร้อมได้ด้วย

กายกับใจไม่จำเป็นต้องแยกจากกัน แต่มาเดี๋ยวนี้เรากำลังแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันมากขึ้น การกิน การหายใจกลายเป็นเรื่องกายล้วนๆ ในทำนองเดียวกันเพศสัมพันธ์ก็ถูกทอนให้เหลือเพียงแค่กิจกรรมทางกาย แม้แต่เพศศึกษาก็มุ่งไปทำนองนี้ คือเน้นแต่เรื่องชีววิทยาและกายวิภาค ทั้งๆ ที่อีกส่วนที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันก็คือ ความรัก ความเข้าใจ และความเห็นอกเห็นใจกันในระหว่างคนสองคน เช่นเดียวกันกีฬาก็กลายเป็นเพียงแค่การออกกำลังกาย ทั้งๆ ที่สามารถใช้เป็นสื่อสร้างคุณธรรม คุณภาพจิตและความเข้าใจในชีวิตได้เป็นอย่างดี

การตัดมิติทางจิตใจออกไปจากกิจกรรมต่างๆ ของชีวิตและสังคมนั้น มีแต่จะทำให้มนุษย์แปลกแยกจากตนเองมากขึ้น เพราะจิตใจนั้นก็เป็นส่วนสำคัญของเราทุกคน ละทิ้งจิตใจก็เท่ากับละทิ้งอีกครึ่งหนึ่งของตัวเราเองให้ตกต่ำ ผลก็คือมันจะคอยก่อกวนและฉุดรั้งชีวิตของเราให้เสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ ชีวิตที่ละเลยมิติทางจิตใจคือชีวิตที่อมทุกข์ ในทำนองเดียวกันประเทศที่ละเลยมิติทางจิตวิญญาณย่อมหาความสงบสุขได้ยาก แม้จะมั่งคั่งเพียงใดก็ตาม

จะร่ำรวยแค่ไหน จะพัฒนาประเทศด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการนำมิติทางจิตใจมาต่อยอดทุกกิจกรรมของชีวิตและสังคม

Back to Top