จิตวิญญาณนั้นมีค่า อย่าคิดขาย

โดย ศ.สุมน อมรวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 22 ตุลาคม 2548

หลังบ้านของยายมีหนองน้ำกว้าง ยายลงหลักปักผักบุ้งไว้แปลงใหญ่ ทั้งเอาใจใส่ดูแลจนมันงามทอดยอดอวบสะพรั่ง

ทุกเช้ายายพายเรือเล็กออกไปเก็บผักบุ้ง ยายเด็ดทุกยอดอย่างมีความสุข มันคือน้ำพักน้ำแรงของยาย ยายเรียงยอดผักค่อย ๆ มัดเป็นกำไม่ให้ช้ำ เมื่อนำผักบุ้งไปขายทั้งหมด มันก็ต่อชีวิตของยาย

โรงเรียนปิดเทอม หลานวัยรุ่น ๓ – ๔ คน มาอยู่กับยาย ทุกเช้าเขาพากันพายเรือไปเก็บผักบุ้ง ดึงทึ้งทั้งก้านแก่และยอดอ่อนอย่างสนุก พอได้เต็มลำเรือก็ขยุ้มมัดลวก ๆ เอาไปกองขายไม่ได้ราคา กอผักบุ้งในหนองน้ำก็เหี่ยวเฉา เงินที่ได้ก็ไม่ถึงมือยาย

ความสุขของยายได้หายไปแล้ว หลานเห็นผักบุ้งเป็นของเล่น แต่สำหรับยาย ผักบุ้งเป็นยิ่งกว่าผัก มันเป็นจิตวิญญาณของยาย

สล่าคำแกะสลักไม้เนื้ออ่อนเป็นรูปสัตว์นานาชนิด สัตว์แต่ละตัวมีสีหน้าท่าทางน่ารักน่าชังเหมือนมีชีวิต สล่าคำเหลาเกลากลึงเต็มฝีมือ ทำเพราะรัก เพลิดเพลินในงาน และใส่จิตวิญญาณลงไป เขาทำงานไปตามกำลังที่มี ผลงานผลิตออกมาเท่าไหร่ก็ขายหมด มีเงินพอใช้ สล่าคำก็มีความสุขพอสมควร

พ่อค้ามาซื้องานของสล่าคำไปทำต้นแบบ แล้วก็ทำพิมพ์หล่อออกมาด้วยวัสดุอื่น ผลิตจากโรงงานเป็นร้อยเป็นพัน เขาแบ่งกำไรส่วนน้อยให้สล่าคำ เงินส่วนใหญ่เป็นของพ่อค้านายทุน ตุ๊กตาสัตว์เหล่านั้น เป็นตุ๊กตาโหล ไร้จิตวิญญาณ ขาดลักษณะเฉพาะตัว สล่าคำมีเงินมากขึ้น แต่ความสุข ความอิ่มเอิบใจได้หายไปเสียแล้ว

สาวใหญ่เป็นช่างเสริมสวย เธอเบื่อและเซ็งในงานที่ทำจำเจ ทุกวันทำงานซ้ำ ๆ ยืนสระผม เป่า เซ็ทผม กวาดพื้น ซักผ้าขนหนู งานอะไรไม่สร้างสรรค์เลย เธอแต่งผมคนแล้วคนเล่า เหมือนลูกค้าเป็นหุ่น ตัวเธอเองก็ทำงานเหมือนหุ่นเช่นกัน บรรยากาศในร้านดูทึม ๆ และซึม ๆ ร้านเสริมสวยร้านนี้ไม่น่าเข้า ดูไม่มีชีวิตชีวา

จิตวิญญาณของงานบริการคือความยิ้มแย้มแจ่มใส เต็มใจและมีความสุขที่ได้พบผู้มาใช้บริการ สร้างสัมพันธภาพที่ดี สิ่งแวดล้อมสะอาดและบรรยากาศรื่นรมย์สบายใจ

ครูสังคมสอนนักเรียนให้วาดรูปอย่างมีความสุข นักเรียนได้ฟังเพลง ฝึกคิดจินตนาการ สังเกตสิ่งแวดล้อมและหัดใช้อุปกรณ์อย่างถูกต้อง นักเรียนวาดรูปอย่างรื่นรมย์ ผลงานมีสีสัน ชั้นเรียนมีชีวิตชีวา ครูสังคมมีจิตวิญญาณของความเป็นครู

หมู่บ้านเศรษฐีราคาบ้านหลังละสามสิบล้าน ทุกบ้านก่อกำแพงสูง ต่างคนต่างอยู่ บ้านติดกันแต่ไม่รู้จักกัน บ้านหนึ่งเลี้ยงสุนัขเป็นฝูง เพื่อนบ้านเขียนจดหมายไปใส่ตู้รับหนังสือพิมพ์ว่ารำคาญเสียงสุนัขเห่ามาก ถ้าไม่ห้ามสุนัขเห่า เขาจะฟ้องเจ้าหน้าที่เขตให้มาจับสุนัขไป

หมู่บ้านนี้เหมือนหมู่บ้านร้าง เงียบเหงา เห็นแต่ยามหน้าตาถมึงทึง ขี่จักรยานตรวจตราอยู่นาน ๆ ครั้ง หมู่บ้านเศรษฐีนี้มีราคา แต่ไม่มีจิตวิญญาณของชุมชน

มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมีบริเวณกว้างใหญ่ อาคารสูง สนามกีฬาในร่ม สระน้ำ หอสมุด ฯลฯ พร้อมบริบูรณ์ คณาจารย์มีหน้าที่สอน นักศึกษามีหน้าที่เรียนแล้วสอบให้ได้ ทุกเวลาว่างจะจับกลุ่มอยู่ตามโต๊ะ นักศึกษาแต่งเครื่องแบบที่ไม่ใช่เครื่องแบบ ไม่ใฝ่รู้ ไม่ใฝ่แสวงหาความรู้ คณาจารย์ไม่มีงานวิชาการไม่วิจัย ไม่สนใจที่จะช่วยสร้างสรรค์สถาบันสู่ความเป็นเลิศ ถ้าคณบดีมอบหมายภารกิจ เขาจะถามว่าได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่ แทนที่จะถามว่าเราจะช่วยกันทำงานให้ดีได้อย่างไร

มหาวิทยาลัยนั้นเป็นองค์กรที่ขาดจิตวิญญาณ เป็นองค์กรที่มีอาการป่วย ต้องการสร้างเสริมสุขภาวะของหน่วยงาน

จิตวิญญาณของมหาวิทยาลัยประกอบด้วยบรรยากาศทางวิชาการ กิจกรรมการเรียนการสอนที่ทั้งครูและศิษย์ค้นคว้า เรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวา จัดการความรู้และสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ ฝึกการใช้ปัญญาคิดวิเคราะห์ ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา และมีกระบวนการปลูกฝังคุณธรรมรวมถึงคุณค่าของบัณฑิตที่มีคุณภาพ

จิตวิญญาณของมหาวิทยาลัย คือการที่สถาบันมีความสัมพันธ์กับชุมชนและสังคม นิสิตนักศึกษาได้เรียนรู้สภาวะแวดล้อม ปัญหาของสังคม และได้ฝึกจิตอาสาสมัคร ในการร่วมพัฒนาชีวิตชาวบ้าน

มหาวิทยาลัย คณาจารย์ นิสิตนักศึกษา ประชาคม ชุมชน ต่างก็ทำกิจกรรมร่วมกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน มีจิตวิญญาณรวมกัน

กลับมาเรื่องหุ่นอีกครั้ง เมื่อเราได้ดูโขน และหุ่นกระบอก แม้ว่าคนจะสวมหัวโขน หุ่นจะถูกเชิดถูกชัก แต่สีหน้าท่าทางของหุ่นทุกอิริยาบถเคลื่อนไหวตามบทพากย์และเสียงดนตรี คนเชิดหุ่นเขาฝึกซ้อมจนเชี่ยวชาญ ฝึกฝน พัฒนา ทุ่มเทชีวิตจิตใจลงไปกับการเชิดจนบรรสานสอดคล้องกันระหว่างคนกับหุ่นเป็นหนึ่งเดียว หุ่นจึงไม่เป็นเพียงหุ่น มันมีบทบาท มีจิตวิญญาณ

ต่างจากคนแท้ ๆ คนเป็น ๆ ผู้ที่ไม่รู้จักตนเอง ไม่คิด ไม่ตระหนักในบทบาทภารกิจของตน เพียงมีเหยื่อหรืออามิสสินจ้างมาหลอกล่อ เขาก็ยอมเป็นร่างทรงให้มีคนเชิดอยู่ข้างหลัง คนประเภทนี้มีชีวิตแต่เหมือนหุ่น เขาขาดจิตวิญญาณที่สร้างคุณค่าให้แก่ตนเอง

ในวงการศึกษาและการเมืองมีข้อเสนอที่ซ้ำซากว่าประเทศของเราต้องมีกระบวนการปลูกฝังจิตวิญญาณประชาธิปไตยให้แก่คนรุ่นใหม่ แต่จะมีความหมายอะไรถ้าการบริหารบ้านเมืองและเนื้อหาในหลักสูตรการศึกษาเป็นเพียงบอกนิยามความหมายของประชาธิปไตยเท่านั้น วิถีการเรียนรู้ กระบวนการเรียนการสอน บรรยากาศการบริหารการศึกษา มิได้เอื้อต่อสิทธิและโอกาสของคนต่างสถานะที่จะสามารถพัฒนาตนไปจนเต็มตามศักยภาพของเขา บรรยากาศทางการเมืองยังขาดสามัคคีธรรม นักการเมืองส่วนใหญ่ไม่สามารถเป็นผู้นำทางอุดมการณ์ประชาธิปไตยได้ ยังคงมีบรรยากาศของความหวาดระแวงและกลวิธีที่ไม่โปร่งใส มีการยอมสยบต่ออิทธิพลและอำนาจ การปฏิรูปการศึกษาและทางการปฏิรูปการเมืองจึงเห็นผลน้อย เพราะยึดติดอยู่กับเนื้อหาแต่ไม่ลงลึกถึงกระบวนการและเสนอแบบอย่างที่ชัดเจน

รายการโทรทัศน์รายการหนึ่งได้ส่งคนไปถามกลุ่มวัยรุ่นในกรุงเทพมหานคร ว่ารู้ความสำคัญของวันที่ ๑๔ ตุลาคม หรือไม่ ผลคือผู้ตอบเกือบทั้งหมดมีสีหน้างงงวย มีคำตอบที่น่าขัน เช่น ๑๔ ตุลาคม หมายถึงวันที่ ๑๐ + ๔ เป็นต้น

จิตวิญญาณของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย กำลังจะจางหายไป ใครบ้างในบ้านเมืองนี้รู้สึกเดือดร้อน

กรณีตัวอย่างที่ยกมาดังกล่าว ช่วยให้พอจะอนุมานได้อย่างกว้าง ๆ ว่า จิตวิญญาณนั้นประกอบด้วยจิตใจ ความรัก ความผูกพัน ความตระหนักและสำนึกในคุณค่า หน้าที่ ความสุขสงบ พอเพียง มีชีวิตชีวา ไม่เห็นแก่ตัว คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน สภาวะของจิตใจเช่นนี้เกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน อบรมตนอย่างต่อเนื่องยาวนาน

จิตวิญญาณไม่ใช่วิญญาณและไม่ใช่ภูตผีปีศาจ หากแต่เป็นสภาวะของจิตที่ได้ฝึกดีแล้ว มีความประณีต เปี่ยมด้วยความใส่ใจ เข้าใจและร่วมใจกัน เป็นนามธรรมภายในที่สามารถแสดงออกมาทางอารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม และการปฏิบัติภารกิจ ขยายความให้กว้างขึ้นอีก จิตวิญญาณก็เป็นต้นธารของความเมตตากรุณา สุนทรียภาพและความสงบสุขทั้งในส่วนตนและสังคม

แม้ว่าจะพยายามอธิบายเรื่องจิตวิญญาณตามนัยของภาษาและถ้อยคำ แต่จิตมนุษย์นี้ยากที่จะนิยามได้ครอบคลุมครบถ้วน สภาวะมันมีปัจจัยและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่มาแปรผันให้จิตวิญญาณของคนและสภาวะของกลุ่มต้องตกต่ำหรือสลายลง

ด้วยเหตุนี้การเสริมสร้างสุขภาพของคนและสังคมจึงต้องคำนึงถึงสุขภาวะทางจิตวิญญาณ ภารกิจหนึ่งคือการฝึกฝนและพัฒนาจิตให้ลดความเห็นแก่ตัว รักเพื่อนมนุษย์ และลดความขัดแย้งด้วยปัญญา

สติสัมปชัญญะ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ควบคุมมิให้จิตใจคับแคบและตกต่ำ เป็นปัจจัยที่ยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้นจนเป็นอิสระ ก้าวพ้นจากความอยากที่ไร้ขอบเขตและความหวาดกลัว

งานของกลุ่มจิตวิวัฒน์ จึงแสดงความพยายามที่จะเน้นภารกิจในการเสริมสร้างสุขภาวะทางจิตวิญญาณ ใฝ่ฝันที่จะสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งของคนทุกรุ่น ทุกองค์กร เพื่อถักทอความรักและความดีงามให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา

มนุษย์ทุกคน กลุ่มชนทุกกลุ่มมีคุณค่าและมีศักดิ์ศรี ซึ่งรวมกันเป็นจิตวิญญาณที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน จึงน่าอัปยศอย่างยิ่งถ้ายอมขายจิตวิญญาณที่สร้างสะสมมายาวนาน

ตัวอย่างในสังคมก็เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ มิใช่หรือ

Back to Top