เมื่อก้าวร้าวก็รุนแรง ครั้นอ่อนโยนก็ยินยอม

โดย ศ.สุมน อมรวิวัฒน์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 22 เมษายน 2549

แม้จะมีเสียงกู่ก้องตะโกนว่าไม่มีความเป็นกลางระหว่างความดีกับความชั่ว

ผู้เขียนก็ยากที่จะทำใจ เพราะไม่แน่ว่าฝ่ายหนึ่งชั่วจริง และอีกฝ่ายหนึ่งดีจริงหรือเปล่า

ได้ติดตามเหตุการณ์ตลอดเดือนมีนาคม และต้นเดือนเมษายน อย่างตามติดประชิดทุกความเคลื่อนไหว สังเกตกิริยาท่วงท่าของผู้คน กลยุทธ์การสร้างบรรยากาศให้ฮึกเหิม สงครามข่าวสารที่เข้มข้นดุเดือด ฝ่ายหนึ่งยิ่งได้รับข่าวสารก็ยิ่งเกลียด อีกฝ่ายหนึ่งยิ่งได้รับข่าวสารก็ยิ่งรัก

สู้กันด้วยเสียงเพลง ดนตรี และดอกไม้ สู้กันด้วยเสียงผรุสวาท หัวเราะ โห่ฮา และน้ำตาที่หลั่งรินด้วยความเสียใจ

น่าแปลกที่สายธารแห่งความโกรธแค้น ชิงชัง หลั่งไหลในสายน้ำเดียวกันกับความสงบ สันติ อหิงสา

แต่มีเกาะแก่งกั้นขวาง เพราะไม่ให้อภัยกัน

เมื่อฝ่ายหนึ่งด่าว่าอีกฝ่ายเป็นพวกต่ำช้า หลงอำนาจ อีกฝ่ายหนึ่งก็ด่าตอบว่าไอ้พวกหน้าง่าว หวังผลประโยชน์

มีการใช้ภาษาและสร้างศัพท์ใหม่กันอย่างแตกฉาน ที่นักภาษาจะต้องบันทึกความนัยที่แฝงไว้ เพื่อให้เยาวชนอีก ๑๐ ปีข้างหน้าอ่านเข้าใจ เช่น พันธมิตร ดาวกระจาย จรจัด อารยะขัดขืน มหาพารากอน หมอผีเขมร เว้นวรรค และแม้แต่คำว่า จตุรังคบาท ก็มีนัยแตกต่างจากที่เรียนในวิชาวรรณคดี บางคนที่ฟังคำผวนในภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เข้าใจเนื้อเพลงที่ร้องกันทั้งเมือง

ยิ่งด่าว่ากันเท่าใด ความร้อนก็สูงขึ้นใกล้จุดเดือด สงครามความคิดใกล้จะระเบิดสร้างความหายนะให้ประเทศชาติ

ฝ่ายหนึ่งยิ่งห้าวหาญ อีกฝ่ายหนึ่งก็ฮึกเหิม ไม่มีใครยอมใคร

ประเทศไทยใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ แบ่งภาค แบ่งกลุ่ม แบ่งด้วยความรักและความชัง

บ้างก็ว่าเป็นเพราะใช้อารมณ์ล้วนๆ บ้างก็ว่าเป็นเพราะใช้เหตุผลและความรู้ลึกๆ

ทุกฝ่ายยึดมั่นกติกา แต่กติกาต่างกัน

วันหนึ่ง หัวใจที่วิตกกังวลก็ผ่อนคลาย เพราะฝ่ายหนึ่งอ่อนโยนลง อีกฝ่ายหนึ่งก็ยินยอมหยุดพักสงคราม

แม้จะมีเงื่อนไขเวลา มีความหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจกัน จับจ้องกันอยู่ แต่ความร้อนก็เย็นลงระยะหนึ่ง

แล้วเทศกาลสงกรานต์ก็มาถึง น้ำหอมๆ ลอยดอกมะลิเย็นชื่นใจ จะกล่อมเกลาให้ความอ่อนโยนยังคงอยู่ และชำระล้างความหยาบกระด้างในอารมณ์ได้หรือเปล่า

นายทหารใหญ่บอกว่ากำลังนับหนึ่งถึงร้อย ก็จงนับต่อไป

นายตำรวจบอกว่าต้องอดทนอดกลั้น ก็ทำต่อไป

ฝูงชนทั้งสองฝ่ายหยุดพักกันชั่วครู่ เมื่อปากหยุดตะโกน หูก็เริ่มมีโอกาสได้ฟัง ท่ามกลางความเงียบ ความรู้คิดก็เริ่มก่อตัว

ทบทวนดูให้ดีเถิด ฝ่ายที่คิดว่าตนเองชนะก็พ่ายแพ้อยู่ในที ผู้นำแห่งชัยชนะก็ถูกติฉินนินทาอยู่ทุกหนทุกแห่ง

มีใครบ้างที่หัวเราะได้เต็มสียง เมื่อยามแย่งยื้ออำนาจอยู่ ปล่อยวางเมื่อใดก็โล่งใจเมื่อนั้น

คิดถึงแนวทางสู่ความปรองดองสมานฉันท์ แม้จะมีการพบปะ พูดคุยกันระหว่างกลุ่มคนที่ขัดแย้ง ก็ยากยิ่งที่จะตกลงกันได้ ถ้าแต่ละฝ่ายต่างก็พกเงื่อนไขของตนมาเต็มกระเป๋า มุ่งสู่จุดหมายของแต่ละคนซึ่งอยู่ต่างขั้ว อย่าว่าแต่จะเจรจากันเลย เพียงแต่พบหน้ากัน ก็อยากจะเบือนหน้าหนีเสียแล้ว

คนเราคุยกันไม่ได้ ถ้าใจมันขุ่นมัว แม้จะเสแสร้งยิ้มแย้มโอบไหล่กัน ก็ดูขัดเขิน

ผู้เขียนนึกถึงประสบการณ์การพูดคุยแบบสุนทรียสนทนา ที่คุณวิศิษฐ์ วังวิญญู เป็นผู้ดำเนินการ เรานั่งล้อมวงกันบนศาลาวัดท่าตอน ทุกอย่างเรียบง่าย และทุกคนจิตใจปล่อยวาง

ศรัทธา และเมตตาต่อเพื่อนสมาชิกของกลุ่ม ลดความถือตน เงียบ สงบ และฟังเมื่อเพื่อนพูด ถ้อยคำของแต่ละคนบางครั้งก็ร้อยเรียงต่อกัน บางครั้งก็เป็นเรื่องใหม่ แล้วแต่ใครจะพูดอะไร พูดค่อยๆ พูดจากความคิดที่เกิดขึ้นฉับพลัน

น่าแปลกที่การพูดคุยกันของเราได้เกิดคลื่นความคิดก่อตัวเป็นความรู้ใหม่ เป็นความรู้ที่ออกมาจากหัวใจของสมาชิกแต่ละคน เป็นความรู้ภายในตัวเรา ที่พูดออกมาแล้วฟังคนอื่นอย่างตั้งใจ ในที่สุดก็เกิดความรู้กลับเข้าไปภายในตนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อจบการสนทนาแล้ว รู้สึกสบาย อิ่มเอิบใจ ไม่มีความขัดแย้ง แม้ว่าเพื่อนสมาชิกมีความแตกต่างกัน

จุดเด่นของสุนทรียสนทนา คือความอ่อนโยน ยอมรับฟัง ยิ่งอ่อนโยนเท่าใด คลื่นความคิดของกลุ่มก็เชื่อมโยงกันมากขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้ามกับการโต้วาที ที่ต้องเตรียมประเด็นหักล้างกันรุนแรงจนราบคาบกันไปข้างหนึ่ง

ผู้เขียนฝันว่า เช้าวันหนึ่งอากาศเย็นสบาย มีคนประมาณ ๒๐ คน เดินมาจากที่ต่างๆ มาพบกันที่ศาลากลางสวนสวยริมน้ำ ทั้งหมดมานั่งล้อมวงกันเงียบๆ แล้วคนหนึ่งก็พูดขึ้นถึงทางออกจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองขณะนี้ ทุกคนตั้งใจฟัง ฟังแล้วคิด และผลัดกันพูดความคิดของตนที่ผุดขึ้นมาสดๆในขณะนั้น ปล่อยวางตำแหน่ง ผลประโยชน์ และความถือตนทั้งหมด บรรยากาศการสนทนามีแต่ความเมตตาต่อกัน

เมื่อไม่วางเงื่อนไขของตนไว้อย่างดื้อดึง เมื่อคิดถึงความอยู่รอดของประเทศ เมื่อลดทิฐิมานะและความอหังการ แต่ละคนตัวตนเล็กลง จิตสำนักยิ่งใหญ่ขึ้นสูงขึ้น ทางออกและวิธีการแก้ไขปัญหาก็ผุดขึ้นในวงสนทนาเป็นขั้นเริ่มต้น

เมื่อเขาลุกขึ้นยืน มือที่เคยไพล่หลัง ก็ยื่นมาข้างหน้า หันมาจับมือกับเพื่อนร่วมสนทนาก่อนจะลาจาก เพื่อจะมาพบกัน และคุยกันแบบนี้อีก

แล้วผู้เขียนก็สะดุ้งตื่น ความฝันย่อมไม่เป็นจริง แต่สิ่งที่ยังตกค้างอยู่ในใจขณะนี้ก็คือ พยายามนึกทบทวนว่า คน ๒๐ คนในฝันนั้นเป็นใครบ้าง

ชื่อที่นึกออกก็เป็นไปไม่ได้ ทุกวันนี้เห็นไล่เบี้ยคิดบัญชีกันวุ่นวายจนคดีเต็มโรงศาล มีการแสดงละครกันทุกวันโดยผู้แสดงเขียนบทกันเอง ทั้งรัก โศก ตลกแกนๆ ให้ตัวเองเป็นตัวเอกเปี่ยมด้วยอุดมการณ์ยืนหยัดเพื่อประชาชน

ไม่แน่นัก ปาฏิหาริย์ย่อมเกิดขึ้นได้ อาจมีคนกลุ่มหนึ่ง เป็นตัวแทนของพลังปัญญา พลังการเมือง และพลังประชาสังคม มาพูดคุยกันแบบสุนทรียสนทนา หาวิธีแก้เงื่อนปมที่ผูกมัดรัดแน่น จนคนไทยจะหายใจไม่ออกอยู่ในขณะนี้

ว่าแต่ท่านช่วยคิดได้หรือไม่ ว่าคน ๒๐ คนในกลุ่มสนทนานี้ น่าจะเป็นใคร

จริงอยู่ สุนทรียสนทนาไม่ใช่กุญแจวิเศษที่ไขประเด็นทางแก้ปัญหาทั้งหมด แต่เป็นจุดเริ่มต้นและก้าวแรกที่นำไปสู่กระบวนการขั้นต่อไป

ถ้ากระบวนการประชาธิปไตย หมายถึงการยอมรับในคุณค่าของทุกคน ภราดรภาพก็เป็นหลักหนึ่งของระบอบนี้ เหตุไฉนจึงหาความเป็นพี่น้องร่วมชาติกันได้ไม่ชัดเจน

วิวาทกันก็วุ่นวายไปเปล่าๆ อ่านพระพุทธวจนะในธรรมบทที่อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก แปลไว้กันก่อนดังนี้

ปเร จ น วิชานนติ
มยเมตถ ยมามเส
เย จ ตตถ วิชานนติ
ตโต สมฺมนฺติ เมธคา ฯ

สามัญชนมักนึกไม่ถึงว่า ตนกำลังฉิบหาย
เพราะการทะเลาะวิวาทกัน
ส่วนผู้ที่รู้ข้อเท็จจริงนี้
ย่อมไม่ทะเลาะวิวาทกัน

Back to Top