การระเบิดของความรู้แจ้ง



โดย ดร.นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 10 มกราคม 2552

ฟิลิซีตี้ เป็นนักศึกษามานุษยวิทยาที่มาสนใจศึกษาเรื่องวัฒนธรรมเกี่ยวกับความตายที่เมืองไทย ผมมีโอกาสพบเธอหลายครั้งและได้เรียนรู้จากเธอทุกครั้ง แต่ครั้งหลังสุดนี้ เธอทำให้ผมได้ฟังเรื่องราวที่ผมคิดว่าดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผม

วันนั้น เธอถามเรื่องหนังสือที่อ่านกันในกลุ่มจิตวิวัฒน์ว่า ผมชอบเล่มไหนมากที่สุด

ผมคิดถึงหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาทันที เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ชื่อ The Doors of Perception เขียนโดย อัลดัส ฮักซ์ลี่ย์ (Aldous Huxley) นักคิด นักเขียนและนักปรัชญาคนสำคัญ ที่บรรยายประสบการณ์ทางจิตหลังจากที่เขาได้ทานยาชื่อ เมสคาลีน (Mescaline) ซึ่งเป็นสารประเภทเดียวกับที่สกัดได้จากต้นกระบองเพชรที่ชาวอินเดียแดงพื้นเมืองใช้ในพิธีกรรมเกี่ยวกับการเข้าสู่ภวังค์เหนือจิตสำนึก

ฮักซ์ลี่ย์ต้องการศึกษาผลของสารนี้ต่อจิตรับรู้ของมนุษย์ จึงลงทุนทดลองทานยาและทำการสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เขาบรรยายอย่างละเอียดถึงความรู้สึกนึกคิด ผัสสะการรับรู้โลก ทั้งการเห็น การได้ยิน การเปลี่ยนแปลงของกาละอวกาศ ความอ่อนไหวทางสุนทรียภาพ และความงาม

ฮักซ์ลี่ย์เชื่อว่า สารเมสคาลีนได้ปลดปล่อยกลไกการควบคุมของสมอง ทำให้โลกแห่งการรับรู้ของเราเปิดกว้าง เป็นอิสระ และเข้าถึงความจริงและความงามที่ยิ่งใหญ่ไพศาลได้อย่างไร้ขอบเขต ทั้งความละเอียดอ่อนในการสังเกต ความลุ่มลึกทางปรัชญาและภาษาแห่งกวีที่สละสลวย ทำให้งานเขียนเล่มเล็กๆ นี้จับใจผมตลอดมา

เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ทำให้ผมคิดได้ว่ามีหนังสือชื่อ Death and Philosophy ซึ่งมีบทความเรื่อง “ความตายของฉัน” หรือ My Death ที่เขียนโดย เทม ฮอร์วิตซ์ (Tem Horwitz) ซึ่งพรรณนาความตายที่เขาเผชิญเพราะอาการช็อคจากการแพ้อย่างรุนแรงที่เรียกว่า anaphylactic โดยที่มีสติสัมปชัญญะดีเยี่ยม

เขาบอกว่า เขารู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังเกิดขึ้นระหว่างทางที่นั่งในรถที่ภรรยาขับบึ่งพาเขาไปโรงพยาบาล เขาเฝ้าดูมันและไม่รู้สึกกลัวเพราะมันเป็นประสบการณ์ที่น่ามหัศจรรย์ เขารู้สึกได้ถึงการสลายไปของอุปาทานและความผูกพันยึดมั่นทั้งหลาย ความตายเป็นเช่นนี้เอง ไร้ขอบเขต ไร้กาลเวลา ไร้ซึ่งตัวตนและอัตตา และไม่มีตัวเราที่เฝ้าสังเกตโลก เพราะเรากับโลกไม่สามารถแบ่งแยกจากกันได้ ไม่เหลือเส้นแบ่งระหว่างเรากับสิ่งอื่น ไม่มีสิ่งที่เป็นเราหรือไม่ใช่เราอีกต่อไป

เขารู้สึกว่าสังขารนั้นหนักและน้ำหนักทั้งหมดกดถ่วงลงกลางลำตัวจนเขารู้สึกจมดิ่งลึกลง ลึกลง เขาฟื้นขึ้นอีกครั้งเพราะแพทย์ที่โรงพยาบาลช่วยชีวิตเขาไว้ทัน

สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเขาฟื้นกลับมามีชีวิต ความรู้สึกนึกคิดของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหัศจรรย์ “เวลา” เดินทางช้าลงจนเขาสามารถมีสติรับรู้สรรพสิ่งอย่างแจ่มชัด ขอบเขตของตัวตนของเขาพร่าจางจนรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งอันเดียวกับสรรพสิ่งมากขึ้น มีอิสรภาพและโปร่งเบาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กำแพง โต๊ะเก้าอี้และผู้คนที่เคยเห็นเป็นของแข็ง เขากลับรู้สึกว่ามันมีรูพรุนและเต็มไปด้วยช่องว่างระหว่างอณู สรรพสิ่งดูไร้ตัวตน ไร้ขอบเขต และเขามีชีวิตด้วยความรู้สึกเข้าใจความเป็นจริงของโลกและสรรพสิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

พอผมเล่าถึงตอนนี้ ฟิลิซีตี้ก็แทรกขึ้นอย่างทนไม่ได้และถามผมว่า “คุณหมอรู้จักเว็บไซต์ชื่อ www.ted.com ไหม ในเว็บไซต์ที่ว่า เรื่องราวความเจ็บป่วยของผู้หญิงคนหนึ่ง คล้ายกับที่คุณหมอเล่านี้มากทีเดียว”

วันต่อมา เธอส่งลิ้งค์มาให้ผม ผมเข้าไปดูและพบว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ในชีวิต

Ted เป็นเว็บไซต์ที่มีรวบรวมวิดีโอที่มีสาระและความคิดดีๆ ไว้เผยแพร่ คำขวัญของเว็บไซต์แห่งนี้คือ Ideas Worth Spreading หรือความคิดที่มีค่าควรเผยแพร่

วิดีโอที่ฟิลิซีตี้แนะนำนี้ชื่อว่า A Stroke of Insight จะแปลว่า การระเบิดของความรู้แจ้งก็ได้ เป็นเรื่องเล่าของนักวิทยาศาสตร์หญิงคนหนึ่งชื่อ จิลล์ โบลเต เทย์เลอร์ (Jill Bolte Taylor) เธอศึกษาสมองของมนุษย์ วันหนึ่งเมื่อเธอตื่นขึ้นตอนเช้า เธอรู้สึกมึนศีรษะอย่างแรงแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากจึงไปออกกำลังกายตามปกติ เธอนั่งโยกกรรเชียงบกอยู่สักพักก็รู้สึกว่าความรับรู้โลกและตัวตนของตัวเธอเริ่มแตกต่างไปจากเดิม

เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงมานั่งโยกกรรเชียงอยู่ มือไม้และร่างกายของเธอก็ดูแปลกๆ มันเหมือนกับเธอกำลังมองมาที่ตัวของเธอเองจากที่ไหนสักแห่ง

เมื่อออกกำลังกายสักพัก อาการก็ไม่ดีขึ้น เธอจึงลุกขึ้นจากเครื่องกรรเชียงบกและเริ่มรู้สึกว่าร่างกายของเธอไม่เหมือนเดิม เธอเดินไปเข้าห้องน้ำและเซจนต้องใช้มือยันผนังไว้ เมื่อเธอมองไปที่มือของเธอ มันเหมือนกับว่าอณูของมือเธอนั้นได้แผ่ซ่านแทรกซึมไปกับผนังห้องน้ำ เส้นแบ่งระหว่างตัวเธอและสรรพสิ่งพร่ามัวลง ทันใดนั้นทุกอย่างเงียบสนิทเหมือนปิดสวิทซ์และความรู้สึกนึกคิดของเธอก็ถูกตรึงไว้ด้วยสนามแห่งพลังอันวิจิตรที่ผสานโลกและตัวเธอเป็นหนึ่งเดียว เธอรับรู้ถึงความอิสระ เบาสบาย และไร้ขอบเขต

เธออยู่ในภวังค์สักพักก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้งและพบว่าแขนขาข้างขวาของเธออ่อนแรง

ความที่เป็นนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระบบสมองทำให้เธอรู้ทันทีว่าเส้นเลือดในสมองของเธอแตกแน่ เพราะอาการปวดศีรษะที่เพิ่มขึ้นและแขนขาอ่อนแรงด้านขวาจะต้องเป็นผลมาจากเส้นเลือดแตกในสมองข้างซ้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

สมองซีกซ้ายและซีกขวาของเรานั้นทำงานต่างกันแต่เสริมกัน สมองซีกขวาคุมร่างกายซีกซ้าย ส่วนสมองซีกซ้ายคุมร่างกายซีกขวา นอกจากนั้น สมองซีกซ้ายยังทำงานแบบวิเคราะห์แยกแยะ จัดระบบ จัดหมวดหมู่และลำดับก่อนหลัง ทั้งยังรับรู้โลกแบบที่มีตัวตนของเราเป็นศูนย์กลางอีกด้วย ส่วนสมองซีกขวารับรู้โลกแบบเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียว รับรู้สรรพสิ่งแบบไม่แบ่งแยกความจริงเป็นท่อนๆ

จิลล์ เทย์เลอร์ ยืนอยู่ที่ห้องน้ำและรู้สึกว่าโลกที่ตนเองเคยรับรู้ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยอีกแล้ว สรรพสิ่งเป็นประหนึ่งมณฑลแห่งพลังที่เชื่อมประสานกัน ไหลเวียน แปรเปลี่ยน ไร้ขอบเขต จักรวาลเป็นเสมือนพลังอันไพศาล สวยงามหมดจด เลื่อนไหลแต่สงบนิ่ง สันติและไร้ตัวตน

จังหวะนั้นเอง เหมือนมีสัญญาณสมองส่งมาเตือนว่า มีบางอย่างผิดปกติ ต้องรีบหาความช่วยเหลือ

เธอประคองร่างกายที่ซีกขวาอ่อนแรงไปที่โต๊ะทำงาน หยิบบัตรจดหมายเลขโทรศัพท์ขึ้นมา เธอมองเห็นตัวอักษรแต่กลับไม่รู้จักมันเลย เห็นรูปร่างอักขระต่างๆ กันแต่ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร เธอค่อยๆ ใช้สติสัมปชัญญะที่เหลือเพ่งพินิจบัตรจดหมายเลขโทรศัพท์ทีละใบและใช้เวลาไป 45 นาทีเพื่อคัดเลือกบัตรโทรศัพท์เพียงไม่กี่สิบใบจนสำเร็จ

แต่เธอก็ต้องพบกับปัญหาอีกก็คือ เธออ่านตัวเลขบนบัตรโทรศัพท์ไม่ออกเสียแล้ว

เธอหาทางหมุนหมายเลขโดยการเอาแป้นโทรศัพท์มาวางข้างๆ บัตรจดหมายเลขโทรศัพท์ แล้วอาศัยการเปรียบเทียบรูปทรงของตัวเลขในบัตร กดปุ่มหมายเลขโทรศัพท์ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับหมายเลขในบัตรจดเบอร์โทรศัพท์

กว่าจะต่อโทรศัพท์ได้ก็ใช้เวลานาน เมื่อเพื่อนร่วมงานของเธอรับสาย เธอดีใจมาก แต่เสียงที่ดังมาตามสายนั้นกลับเป็นเสียงที่เธอฟังไม่ออกเลย ได้ยินแต่เสียงดังอยู่แต่ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าเขาพูดอะไร เมื่อเธอเปล่งเสียงตอบกลับไป เสียงที่ออกมาก็ไม่เป็นภาษามนุษย์ แต่ในที่สุด เพื่อนของเธอก็จำเสียงเธอได้ และนำรถพยาบาลมาพาเธอไปโรงพยาบาล

เธอได้รับการผ่าตัดเอาก้อนเลือดขนาดเท่าลูกกอล์ฟออกจากสมองซีกซ้ายของเธอ และใช้เวลา 8 ปีในการพักฟื้น จนกลับมาเป็นปกติในปัจจุบัน

แม้ว่าเธอจะฟื้นและมีชีวิตเหมือนเดิม แต่วิธีมองโลกของเธอเปลี่ยนไป เธอบอกว่าเมื่อเธออยู่ในสภาวะเส้นเลือดแตกในสมอง โลกที่เธอรับรู้นั้นมันงดงามและเปี่ยมล้นด้วยสันติภาพ สรรพสิ่งเป็นเอกภาพและเป็นอเนกอนันต์ เป็นภาวะแห่งการหลุดพ้นที่เธอเรียกว่านิพพาน เธอรู้สึกว่าชีวิตเป็นเหมือนพลังที่ยิ่งใหญ่ไพศาลและมหัศจรรย์ จนเธอรู้สึกฉงนและไม่เชื่อว่าร่างกายอันน้อยนิดนี้จะสามารถรองรับชีวิตที่ยิ่งใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตนั้นอย่างไรได้

ประสบการณ์เส้นเลือดในสมองแตกนี้ทำให้เธอเห็นว่าสมองของเรามีศักยภาพที่จะเข้าถึงโลกแห่งการรับรู้อย่างใหม่ และถ้าเธอรับรู้โลกแห่งความหลุดพ้นนี้ได้ คนอื่นก็ต้องรับรู้มันได้เช่นกัน เธอจินตนาการไปถึงโลกที่งดงาม สันติและเต็มเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาต่อกัน และเธอก็ตระหนักว่าประสบการณ์ที่เธอพบนี้เป็นของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่บอกถึงวิถีอันประเสริฐของการเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ในโลก

เส้นเลือดในสมองแตกระเบิดที่เรียกว่า Stroke ของ จิลล์ เทย์เลอร์ จึงเป็นการระเบิดของความรู้แจ้ง หรือ Stroke of Insight ที่เปลี่ยนวิธีคิดและวิธีมองโลกของเธอ

จิลล์ เทย์เลอร์ ได้ใช้เวลาหลังฟื้นจากการเจ็บป่วยออกเดินทางบรรยายเรื่องความมหัศจรรย์ของสมองมนุษย์กับศักยภาพแห่งการเข้าถึงความดี ความงามและความจริง ด้วยความเชื่อมั่นว่ามนุษย์สามารถเลือกที่จะรับรู้โลกได้

เธอเชื่อจากประสบการณ์ชีวิตของเธอว่า สันติภาพ ความเป็นหนึ่งเดียวกันหรือแม้แต่นิพพาน จะเป็นไปได้หรือไม่นั้น

ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกยืนอยู่บนการรับรู้โลกแห่งความเป็นจริงแบบไหน



ผู้ที่สนใจ สามารถชมวิดีโอการบรรยายของ จิลล์ เทย์เลอร์ได้ที่
http://www.ted.com/index.php/talks/jill_bolte_taylor_s_powerful_stroke_of_insight.html

One Comment

surachaiwongwatroj กล่าวว่า...

ข้อมุลที่ได้อ่านมีประโยชน์มากๆๆ

Back to Top