โดย
วิศิษฐ์ วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 8 กันยายน 2555
ในทางพุทธธรรม คือในปฏิจจสมุปบาท เราจะเลือกลงไปในวงจรลบ คือเลือกที่จะทุกข์ คือวนเวียนลงไปในความทุกข์แบบงูกินหาง คือการกัดกินตัวเอง หรือว่าเราจะเลือกเข้าสู่วงจรปฏิจจสมุปบาทเชิงบวก ทั้งที่มีโอกาสจะจมลงไปในกองทุกข์ แต่กลับสามารถอยู่กับประสบการณ์ตรงได้ หรืออยู่กับตถตาได้โดยไม่ปรุงแต่งเพิ่มเติมเข้าไป ไม่สร้างเรื่องราวเพิ่มเติมความทุกข์เข้าไปอีกก็ได้
จากงานวิจัยทางสมองก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราประสบกับเหตุการณ์เลวร้ายหนึ่งๆ เราจะเลือกลงไปทุกข์หรือไม่ลงไปทุกข์ก็ตาม สมองจะทำงานอยู่สองช่วงตอน คือ “ก่อนและหลัง” ก่อนคือมีโอกาสเลือกว่าจะเข้าไปทุกข์ หรือเข้าสู่วงจรของงูกินหางแห่งทุกข์หรือไม่ หรือจะไปทางอื่นๆ ที่ไม่ปรุงแต่งทุกข์ให้มากขึ้นก็ได้ และอีกช่วงหนึ่งที่สมองจะทำงานอย่างแข็งขันอีกครั้ง ก็คือช่วงผลลัพธ์หรือช่วงท้ายสุด มันจะมีโอกาสประมวลผลว่า ถ้าเราเลือกแบบนี้ก็จะได้แบบนี้ เหมือนเราจะมีโอกาสคิดใคร่ครวญประเมินผลเมื่อกระบวนการทางสมองมาสิ้นสุดอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากสองช่วงนี้แล้ว เส้นกราฟแสดงว่า สมองจะเฉื่อยเนือย จะไม่ทำงาน คือสมองจะหยุดทำงานหรือทำงานน้อยที่สุด แต่จะไหลไปตามวงจรอัตโนมัติ แล้วแต่ว่าจะเลือกเข้าวงจรไหน พอเข้าไปแล้วมันก็จะไหลไปตามอัตโนมัตินั้นเอง ซึ่งผมจะเรียกว่า อัตโนมัติที่หลับใหล เพราะว่ามันจะเป็นไปในโหมดความขี้เกียจของสมอง อย่างไม่ตื่นรู้ อย่างไม่รู้เท่าทัน ก็คือมันจะเป็นไปในความหลับใหลนั้นเอง
โอกาสจมกองทุกข์ จะหมุนเวียนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ช่วงหนึ่งที่ลูกชายผมซึ่งป่วยหนักอาการยังไม่ค่อยดี ทุกๆ วันแทบจะไม่กล้าโทรไปถามทีมผู้ดูแลเลยว่าอาการของเขาเป็นอย่างไร ไม่อยากฟังข่าวร้ายๆ ดังมีคำกล่าวที่ว่าทุกข์ของลูกมันยิ่งใหญ่กว่าทุกข์ของตัวเอง เรามักจะคิดอยู่บ่อยครั้งว่าให้เราป่วยเองเสียยังดีกว่า ตอนนั้นผมกำลังอยู่ในงานด้วย มันยากลำบากมากที่จะทำให้ใจเป็นปกติ เรื่องราวที่พกพาความทุกข์มันจะวนเวียนกลับมาเรื่อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างถี่ๆ และมีแนวโน้มที่จะจมลงไปในกองทุกข์อยู่ตลอดเวลา เป็นกองทุกข์ที่ถอนตัวขึ้นมาได้ยาก แม้ธรรมชาติที่สวยงาม เสียงดนตรีที่เคยช่วยให้ผ่อนคลาย ตอนนั้นก็ไม่อาจช่วยอะไรได้เลย และในฐานะพ่อใบเลี้ยงเดี่ยวที่ยังจะต้องทำงานอยู่ โดยเฉพาะต้องมีเงินทองที่ใช้รักษาลูก มันก็อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
การเข้าสู่ประสบการณ์มนุษย์พันหน้า
ในจิตวิทยาสายคาร์ล จุง มนุษย์มีเสี้ยวส่วนต่างๆ ที่ก่อประกอบขึ้นเป็นทั้งหมดอย่างครบครัน หรือที่เรียกว่า wholeness แต่ปมทางจิตวิทยาอันเกิดจากบาดแผลทางจิตใจในอดีตของเรา ได้ทำให้เราทิ้งเสี้ยวส่วนต่างๆ เหล่านี้ไป ทำให้เราไม่ครบครัน ทำให้เราขาดวิ่น ขาดแคลน และเส้นทางเดินของการพัฒนาจิตสายนี้ ก็คือการกลับไปพัฒนาตัวเอง กลับไปนำพาตัวเองเพื่อเข้าสู่ความครบครันนี้
ทีนี้เสี้ยวส่วนแต่ละเสี้ยวก็คือบุคลิกภาพหนึ่งๆ ที่เป็นตัวละครตัวหนึ่งๆ เลยทีเดียว เทียบเคียงเป็นซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งๆ ก็ได้ แต่ละตัวจะมีศักยภาพไปในแต่ละลักษณะไม่เหมือนกัน เป็นทั้งศักยภาพที่จะกระทำการใดๆ ได้ หรือเป็นศักยภาพหรือแนวโน้มที่จะนำพาไปสู่ความตีบตันหรือนำพาไปสู่กองทุกข์ได้ด้วย
เพียงเคลื่อนย้ายตัวตนหรือการเปลี่ยนหน้าก็หายทุกข์
ยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อเราอยู่กับตัวตนใดตัวตนหนึ่ง เช่น ตัวตน ก. อันเป็นตัวตนที่เราจะทุกข์ เราก็ทุกข์ แต่พอเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนหน้าไปสู่ตัวตน ข. ซึ่งเวลาอยู่ในตัวตน ข. เราไม่ทุกข์ พอเราย้ายไปสู่ความเป็นตัวตน ข. เราก็กลับไม่มีความทุกข์เลย พอเปลี่ยนตัวตนหรือเคลื่อนย้ายตัวตนได้ เพียงเวลาสั้นๆ ความทุกข์อันใหญ่หลวงก็หายไปโดยสิ้นเชิง ก็แปลกประหลาดมหัศจรรย์
การเคลื่อนย้ายตัวตน ยังเป็นศักยภาพที่จะไปกระทำการต่างๆ อันแตกต่างหลากหลายให้สำเร็จได้อีกด้วย
แปลว่า ยิ่งมีความหลากหลายตัวตน ก็ยิ่งมีความหลากหลายทางสมรรถนะหรือความสามารถ
การเคลื่อนย้ายตัวตนในกรณีของลูกชายป่วย
ตัวตนเด่นๆ ที่ทำให้ผมผ่านพ้นประสบการณ์ของลูกชายที่ป่วยหนักได้ดี คือสามารถโยกย้ายตัวตนออกไปจากกองทุกข์อันเวียนวนอย่างไม่สามารถสานสร้างอะไรดีๆ ออกมาได้ และยังค้นพบตัวตนอื่นๆ อันมีศักยภาพยิ่งใหญ่ต่างๆ ที่จะทำให้เรามีความสามารถหลากหลายมาใช้ในการดูแลลูกชาย และดูแลตัวเองที่ทำให้พร้อมจะดูแลลูกชายได้ดียิ่งขึ้น
เช่นตัว “นักรบ” ตัวตนนี้ไม่ยอมจำนน มันจะลงมือกระทำการ ไม่ยอมนั่งเฉยๆ และจมลงไปในกองทุกข์ แต่มันจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง มันน่าจะเป็นกระทิง ธาตุไฟในบุคลิกภาพแบบผู้นำสี่ทิศ เช่นตอนแรกก็เข้าไปในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อค้นหาวิธีการรักษาต่างๆ จนได้ความรู้เรื่องตัวยาจากพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง แล้วก็ศึกษาวิธีสกัด หาอุปกรณ์และเคมีที่จะใช้ จนสามารถผลิตยาออกมาได้เองอย่างน่าอัศจรรย์ใจ!
อีกตัวตนหนึ่งที่อยากจะพูดถึงในที่นี้คือ ตัวจิตวิญญาณ หรือ spiritual being ตัวตนนี้มันมองชีวิตทั้งหมดคือการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ เห็นทุกสิ่งอย่างที่เข้ามาในชีวิตเป็นการปฏิบัติธรรม มันเห็นโจทย์หนักๆ ยากๆ เป็นโอกาส และทุกข์อย่างใหญ่หลวงนี้ก็คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ของเราและของลูกด้วย
ตัวจิตวิญญาณนี้มองว่า ทั้งลูกชายและผมได้ตั้งโจทย์การพัฒนาทางจิตเอาไว้ก่อนมาเกิด และได้ตั้งโจทย์ที่ยากมากๆ เอาไว้ ตอนตั้งโจทย์เราสองคนคงคิดไว้แล้วว่าเราน่าจะตอบโจทย์ได้เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เราก็คงต้องศรัทธาว่าตัวเองทำได้ หรือว่าเราได้เคยตั้งโจทย์ง่ายๆ มาแล้วในชาติอื่นๆ แต่ในชาตินี้เราอาจจะคิดว่าเอาเถอะลองทำแบบฝึกหัดยากๆ ดูบ้าง
ตัวจิตวิญญาณนี้มันมองได้อย่างสุดๆ เลย คือมองว่าถ้าลูกชายจะตายจากไปก็โอเค มันได้เลือกมาอย่างนั้น มันได้ตั้งโจทย์มาอย่างนั้น และจะต้องเป็นไปอย่างนั้น และไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนก็ตาม เราสองคนก็จะได้มีโอกาสเติบโตทางจิตวิญญาณนั้นเอง
ยังมีอีกตัวตนหนึ่งที่ทำให้เราเป็นแพทย์แบบกระบวนทัศน์เก่า ซึ่งแพทย์กระบวนทัศน์เก่าก็จะมีอำนาจบางอย่าง มีความศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง ที่มาปกป้องคุ้มครองตัวแพทย์เองด้วยและเป็นอำนาจแบบการวิเคราะห์โดยนัยยะแห่งวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็ช่วยให้มีการตัดสินใจที่ชัดเจนแต่ละช่วงว่าจะดูแลลูกชายอย่างไร ความชัดเจนในตัวตนนี้ยังได้ทำให้เราไม่สาละวนเกาะแกะอยู่กับลูกชายบ่อยเกินไป นานเกินไป จนไปสร้างแรงกดดันให้ทีมงานดูแลที่น่ารักและแสนดี
และบางทีในช่วงเวลาที่ลูกป่วยเช่นนี้ เราอาจจะคิดว่าเราทำดีที่สุดหรือยัง อันนี้แหละที่ตัวตนใหญ่ๆ อีกตัวหนึ่งกำลังคืบคลานเข้ามา มันคือผู้วิจารณ์ เราดูแลผู้วิจารณ์นี้ด้วยการรู้เท่าทัน และไม่ต้องจมลงไปในเรื่องราวกับเขา หากขอบคุณ และบอกเขาว่า เราได้ทำดีที่สุดแล้วในแต่ละช่วงเวลา
ตัวตนที่สำคัญยิ่งอีกตัวหนึ่งที่จะกล่าวถึง ก็คือเด็กน้อยผู้เปราะบางของเรา
คือเวลาป่วยหนักๆ ในวัยเด็ก หรือที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม (ผมเคยเป็นไข้มาลาเรียปางตายครั้งหนึ่งในวัยยี่สิบต้นๆ ตอนนั้นบวชเป็นพระ) แม้ในช่วงป่วยหนักนั้นเอง เราจะรู้สึกว่าชีวิตมันมีอะไรดีๆ บางอย่างอยู่ด้วย มันอาจจะเป็นการที่เราสามารถกลับไปเป็นเด็กน้อยผู้เปราะบางอีกครั้ง กลับไปหยุด และอาจจะกลับมาหาตัวตนทางจิตวิญญาณได้อีกด้วย
เด็กน้อยตัวนี้ทำให้ผมสัมพันธ์กับลูกชายได้ลึกมาก บางทีไม่ต้องพูด เพียงอยู่ด้วยกันเฉยๆ เราสองคนก็มีความสุขแล้ว
ตัวตนนี้มันทำให้หัวใจอ่อนโยนและได้เรียนรู้เรื่องความรักอีกครั้งหนึ่ง เป็นความรักใสๆ ที่มีพลังมหาศาล
แสดงความคิดเห็น