เด็กได้อะไรจากปฏิรูปการศึกษา



โดย นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 16 พฤศจิกายน 2556

การปฏิรูปการศึกษาใดๆ ควรเตือนตนเองเสมอว่าทำไปเพื่อเด็กนักเรียน จึงต้องถามตนเองเสมอว่าเด็กๆ ได้อะไร

การปฏิรูปโครงสร้างกระทรวงฯ ปฏิรูปครู ปฏิรูปสื่อการสอน ปฏิรูปหลักสูตร ปฏิรูปการสอบวัดผล ปฏิรูปการตรวจคุณภาพโรงเรียน รวมทั้งการลดจำนวนเวลาเรียน เหล่านี้ทำไปเพื่อเด็กๆ ทั้งสิ้น จึงควรหาคำตอบให้ได้ว่าในท้ายที่สุดแล้วเด็กได้อะไร

แต่กว่าจะได้คำตอบว่าเด็กได้อะไรมักใช้เวลานาน หลายครั้งเราไม่ได้ประเมิน


มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ร่วมกับโรงเรียนจำนวนหนึ่งประกอบด้วยกลุ่มโรงเรียนทางเลือกและกลุ่มโรงเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้วางแผนร่วมกันที่จะปฏิรูปการศึกษาโดยเริ่มด้วยการแสดงผลลัพธ์ว่าเด็กได้อะไรตั้งแต่ต้น ในทางปฏิบัติคือมาบอกเล่ากันตั้งแต่แรกว่าเด็กนักเรียนได้อะไร

ปัจจุบันนี้ โรงเรียนทางเลือกและโรงเรียนในระบบจำนวนหนึ่งมีการจัดการเรียนการสอนที่เรียกว่า “สอนน้อยได้มาก” หรือ “teach less learn more” อยู่ก่อนแล้ว นั่นคือลดชั่วโมงการสอนแบบดั้งเดิมและจัดการเรียนการสอนแบบที่เรียกว่า “การเรียนรู้โดยใช้โจทย์ปัญหาเป็นฐาน” หรือ “problem-based learning: PBL” แทน บ้างเรียกว่า “การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน” หรือ “project-based learning”


การเรียนรู้โดยใช้โจทย์ปัญหาเป็นฐานควรประกอบด้วยองค์ประกอบดังต่อไปนี้

๑.โจทย์ปัญหานั้นสัมพันธ์กับชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่

๒. มีการแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นกลุ่มเพื่อให้ได้ทำงานเป็นทีม

๓. สมาชิกของแต่ละกลุ่มมีความหลากหลายในทุกมิติ เช่น เชาวน์ปัญญา ผลการเรียน เศรษฐานะ ชาติพันธุ์ เป็นต้น

๔.ในกระบวนการหาคำตอบเปิดโอกาสให้นักเรียนต้อง “ลงมือทำ” ดังที่เรียกว่า “การเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ” หรือ “active learning: AL” ดังนั้นการไปทัศนศึกษาหรือการเข้าห้องสมุดทำรายงานจึงยังมิใช่การเรียนรู้โดยใช้โจทย์ปัญหาเป็นฐาน

๕. มุ่งเน้นกระบวนหาคำตอบมากกว่าตัวคำตอบเอง ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่าโลกที่ซับซ้อนนี้ไม่เคยมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว

๖. ไม่ละทิ้งวิชาพื้นฐาน ๓ วิชา คือ การอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาสมองโดยตรง

๗. ควรบูรณาการเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษาไทย และภาษาอังกฤษเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อคงความเป็นเลิศทางวิชาการ

๘. ควรตอบสนองวิชาอนาคต ๔ วิชาซึ่งเป็นเป้าหมายของการพัฒนามนุษย์ นั่นคือความรู้พื้นฐานด้านสุขภาพ ความรู้พื้นฐานด้านเศรษฐกิจ ความรู้พื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม และวิชาความเป็นพลเมือง กล่าวคือเราจัดการศึกษาก็เพื่อให้เด็กๆ มีสุขภาวะที่ดี มีเงินใช้ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี และสามารถอยู่ร่วมกับความแตกต่าง

๙. ไม่มุ่งเน้นมอบความรู้ แต่มุ่งเน้นมอบทักษะ ๓ ประการคือ ทักษะชีวิต ทักษะการเรียนรู้ และทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งการใช้เครื่องมือไอทีอย่างชาญฉลาด

๑๐. จะต้องมีการประเมินผลหลังปิดโครงการเสมอ ดังที่เรียกว่า after action review (AAR) เพื่อตอบให้ได้ว่านักเรียนได้อะไรและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

๑๑. ครูที่มีประสบการณ์จัดการเรียนรู้โดยใช้โจทย์ปัญหาเป็นฐานจะต้องมีกลุ่ม after action review เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปีการศึกษา

๑๒. สุดท้าย สามารถพิสูจน์ได้ว่านักเรียนพัฒนาตนเองไปเป็นบุคคลที่มีทักษะชีวิตที่ดี มีความใฝ่รู้และสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้จากทุกสถานที่และเวลา

ในความเป็นจริง โรงเรียนทางเลือกหรือโรงเรียนในระบบที่จัดการเรียนรู้โดยใช้โจทย์ปัญหาเป็นฐานไม่สามารถสร้างโจทย์ปัญหาที่ดีที่สุดครบทั้ง ๑๒ องค์ประกอบสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑๒ ปีด้วยตนเอง แต่ก็ดีกว่าการสอนอย่างแข็งกระด้างและมุ่งมอบความรู้จำนวนมากดังที่โรงเรียนส่วนใหญ่ทำกันอยู่ โรงเรียนเหล่านี้ควรมีเครือข่ายช่วยเหลือกันพัฒนาโจทย์ปัญหาที่ดีที่สุด

ดังนั้นมูลนิธิสดศรีฯ จึงเชิญชวนโรงเรียนในภาคีเครือข่ายมาแลกเปลี่ยนเรื่องเล่าเกี่ยวกับวิธีออกแบบการเรียนรู้โดยใช้โจทย์ปัญหาเป็นฐานให้แก่นักเรียนตามที่เป็นจริง ให้ครูที่ได้ทำงานนี้จริงๆ ได้บอกเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดแก่นักเรียนของตนเป็นรายบุคคล นั่นคือ “เด็กได้อะไร”

จากการแลกเปลี่ยนตามด้วยการเรียนรู้ โรงเรียนทางเลือกและโรงเรียนในระบบที่เข้าร่วมงานกับมูลนิธิฯ จะได้เรียนรู้การจัดการเรียนรู้โดยใช้โจทย์ปัญหาเป็นฐานของกันและกันอย่างละเอียด เพื่อให้ได้แนวคิดในการปรับปรุงการเรียนรู้โดยใช้โจทย์ปัญหาเป็นฐานที่มีอยู่ให้มีองค์ประกอบที่ดีที่สุด

โดยมีนักวิชาการศึกษาที่เข้าใจแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ทักษะ ๓ ประการของเด็ก ทำหน้าที่จดบันทึก ยืนยันงานที่ครูทำ ตีความ และวิเคราะห์การเรียนรู้โดยใช้โจทย์ปัญหาเป็นฐานนั้นอย่างเป็นระบบ

การปฏิรูปการศึกษาที่มูลนิธิฯ และโรงเรียนเครือข่ายพยายามช่วยเหลือตนเองนี้ เริ่มดำเนินงานโดยไม่มีทุนสนับสนุน แต่มีความตั้งใจจะช่วยกันปฏิรูปการศึกษาประเทศไทยโดยให้เด็กเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง และลงมือทำตั้งแต่วันแรกภายใต้คำถามว่า “เด็กได้อะไร”

การปฏิรูปการศึกษาที่แท้จะสำเร็จได้ โรงเรียนหรือคุณพ่อคุณแม่ควรเป็นฝ่ายลุกขึ้นเรียกร้อง และร่วมมือผลักดันให้โรงเรียนที่ยังจัดการสอนแบบเดิมเปลี่ยนวิธีจัดการเรียนรู้เสียใหม่

โรงเรียนทางเลือกหลายแห่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลผลิตคือนักเรียนที่ดี แต่ติดขัดที่ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายยังสูงเกินกว่าที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ของประเทศจะรับได้ ดังนั้นเราควรเรียกร้องและผลักดันให้โรงเรียนในระบบทั้งหมดเปลี่ยนตนเองเป็นโรงเรียนทางเลือกที่มีการจัดการเรียนรู้โดยใช้โจทย์ปัญหาเป็นฐาน

เป็นจุดเริ่มต้นของความเท่าเทียมด้านการศึกษาโดยมีผลลัพธ์ที่ดี

Back to Top