อนาคตอยู่ที่นี่ ประวัติศาสตร์ก็อยู่ตรงนี้



โดย ชลนภา อนุกูล
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 25 มกราคม 2557

ถ้าเรามีโอกาสขึ้นไทม์แมชชีนเดินทางไปในอนาคตอีก ๕๐ ปีข้างหน้า และสามารถส่งจดหมายข้ามเวลากลับมายังตัวเราเองในสังคมไทยปัจจุบัน เนื้อความในจดหมายที่เราเขียนเล่าถึงสังคมไทยในอนาคตจะมีหน้าตาอย่างไร?

สำหรับคนที่ถูกเรียกว่าพวกโลกสวย อาจจะเล่าให้เราฟังถึงสังคมไทยในอนาคตอันงดงาม ความเจริญกระจายตัวออกไปในทุกจังหวัดทั่วประเทศ ในแต่ละภูมิภาคมีมหาวิทยาลัยรัฐเปิดเพิ่มและให้เรียนฟรี ผู้คนมีงานทำและมีระบบประกันสังคมคุ้มครองทั่วถึง คนจะร่ำรวยได้ก็จากการทำงานหนักเท่านั้น ไม่ใช่จากการครอบครองที่ดินหรือได้รับมรดก ผู้คนตื่นตัวทางการเมืองสูง นักการเมืองคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่มีมากมาย สัดส่วนผู้นำหญิงชายทางการเมืองใกล้เคียงกัน ผู้นำแรงงานและผู้นำเครือข่ายคนพิการกลายเป็นรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีจบปริญญาเอกด้านประสาทวิทยา ไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นเลยเช่นเดียวกับสงคราม กองทัพกลายเป็นกระทรวงจิตอาสา รัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายร่างขึ้นโดยผู้คนกลุ่มหนึ่ง โดยใช้เวลาในการถกเถียงกันอยู่ ๒ ปี ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการประชาพิจารณ์อย่างกว้างขวางอีก ๕ ปี และใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วอายุคนในการหลอมรวมเข้าไปในจิตสำนึก วิธีคิด และวิถีชีวิตของผู้คน ตั้งแต่ในบ้าน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน และพื้นที่สาธารณะ ช่องว่างความเหลื่อมล้ำลดลงทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรมลดลงชัดเจน

สำหรับคนที่ถูกเรียกว่าพวกโลกมืด อาจจะเล่าให้เราฟังถึงสงครามกลางเมืองที่ยังไม่สิ้นสุด ผู้คนบาดเจ็บล้มตายลงจำนวนมาก ประชากรลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสี่ ผู้หญิงเกือบทุกคนถูกข่มขืน ประชากรเด็กที่ตายส่วนใหญ่อายุไม่ถึงห้าขวบ กรุงเทพฯ ถูกทิ้งร้าง หลังจากการปะทะนองเลือดครั้งใหญ่ ขั้วอำนาจแบ่งออกเป็นสองฝ่ายชัดเจน แต่ละฝ่ายมีกองทัพของตัวเอง ความเกลียดชังแผ่ขยายไปแทบทุกอณูของแผ่นดิน มหาวิทยาลัยปิดตัวลง อาจารย์และนักวิชาการกลายเป็นเสนาธิการวางแผนสู้รบในแต่ละฝั่ง แรงงานและเกษตรกรเป็นกลุ่มแรกที่ตายลงในการปะทะช่วงแรก ถัดมาเป็นกลุ่มนักศึกษาที่ทนเห็นความทุกข์และเดือดร้อนของผู้คนไม่ได้ นักธุรกิจกลุ่มใหญ่ตลอดจนศิลปินและปัญญาชนบางคนทยอยเดินทางออกนอกประเทศไปตั้งแต่ต้น ไม่เหลือสถาบันใดเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชาติร่วมกันได้อีกต่อไป ต่างชาติถอนการลงทุนภายในประเทศ เศรษฐกิจตกต่ำอย่างถึงที่สุด ที่รายได้ดีคือธุรกิจอาวุธสงครามและนำเข้ามลพิษ ผู้คนตกงาน อดอยาก ปราศจากความหวัง และส่งต่อความเกลียดชังไปยังคนรุ่นลูกรุ่นหลาน

หากพินิจให้ดี โลกในอนาคตของพวกโลกสวยและพวกโลกมืดไม่ใช่ความฝันและจินตนาการที่วาดขึ้นมาเล่น-เล่น เพราะถ้าพิจารณาจากสถานการณ์ของสังคมไทยในปัจจุบัน โลกอนาคตที่แตกต่างกันทั้งสองแบบล้วนมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น โดยเงื่อนไขสำคัญก็คือ การตัดสินใจของคนไทยในปัจจุบันนั่นเอง

ถ้าเราเชื่อว่าโลกสวยนั้นควรเป็นอนาคตของเรา และเป็นอนาคตที่เป็นไปได้ เราย่อมทำทุกวิถีทางในปัจจุบัน เพื่อสร้างเหตุปัจจัยของโลกอนาคตที่แสนสดสวยนั้น

ถ้าเราเชื่อว่าโลกมืดนั้นเป็นไปได้ แต่ไม่ควรเป็นอนาคตของเรา เราย่อมทำทุกวิถีทางในปัจจุบัน เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างเหตุปัจจัยของโลกอนาคตที่นำไปสู่สังคมอันล่มสลายนั้น

ด้วยเหตุนี้ อนาคตจึงเป็นเรื่องของทางเลือก ไม่ใช่เรื่องที่ถูกกำหนดไว้ และทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกก็ยืนยันว่า ทุกการกระทำ ทุกการตัดสินใจของเราในปัจจุบันย่อมส่งผลถึงอนาคตในวันพรุ่งเสมอ – อนาคตจึงอยู่ที่นี่ อยู่ในมือของปัจจุบันขณะนี้เอง

แล้วถ้าจดหมายจากอนาคตจะเขียนเล่าประวัติศาสตร์ด้วย ประวัติศาสตร์ที่บันทึกการกระทำของยุคสมัยจะถูกเขียนไว้อย่างไร?

สำหรับพวกโลกสวยที่ใฝ่ฝันถึงสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตยและความเป็นธรรมนั้นก็คงจะเขียนเล่าว่า พวกเขา/เธอมีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเรียนรู้ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความเชื่อมั่นนี้นำไปสู่ความไว้วางใจและเปิดพื้นที่ให้กับกระบวนการสนทนา และลงทุนลงแรงด้านเวลาเพื่อขัดสีแลกเปลี่ยนความคิด/ความเห็น/จินตนาการจนมีความเห็นพ้องต้องกันทั้งในระดับคุณค่า วิสัยทัศน์ เป้าหมาย และวิธีการ เพราะพวกเขา/เธอตระหนักดีว่า การสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมนั้นไม่อาจละทิ้งหรือกีดกันคนอื่นออกไปจากกระบวนการร่วมคิดและร่วมทำได้ การแบ่งปันพื้นที่ให้กับการนำเสนอปัญหาอันหลากหลายนอกจากจะเป็นเรื่องจำเป็นแล้ว ยังช่วย สร้างความเห็นอกเห็นใจระหว่างกัน เกิดเป็นเยื่อใยไมตรีที่พร้อมเกื้อกูลกันและกัน สังคมที่ก้าวไปข้างหน้าจึงไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง และด้วยเหตุนี้ การกระจายอำนาจจึงเกิดขึ้น การกระจายรายได้และทรัพยากรจึงเกิดขึ้น โครงสร้างที่เคยเบียดเบียนกันที่น้อยลงทำให้ผู้คนมีทางเลือกในชีวิตมากกว่าเดิม มีเสรีภาพมากขึ้น และเป็นสุขมากขึ้น

ส่วนพวกโลกมืดที่มองเห็นสังคมล่มสลายก็คงจะเล่าว่า พวกเรา – ไม่ใช่เขา/เธอ - ได้ทำอะไรแย่-แย่มากมายที่ทำให้ไปถึงจุดแห่งความสิ้นหวัง ไม่ว่าจะเป็นการขัดแย้งเห็นต่างที่ไม่สร้างสรรค์ ความยึดมั่นถือมั่นในความคิดความเชื่อของตนเองที่ล้ำเส้นเกินพอดีกลายเป็นความสุดโต่ง และกีดกันไปจนถึงปิดกั้นความคิดความเชื่ออื่นที่แตกต่างออกไป ไม่สนใจกระบวนการสนทนา เพราะไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะมีความคิดความเห็นที่ดี ไม่ไว้วางใจในศักยภาพการเรียนรู้ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่สามารถอดทนอดกลั้นต่อความแตกต่าง เริ่มบริภาษว่าร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง ดูหมิ่นเหยียดหยามอีกฝ่ายให้สิ้นความเป็นมนุษย์ และใช้กำลังอำนาจบังคับอีกฝ่ายให้ยินยอม เกิดเป็นสถานการณ์เผชิญหน้าที่แต่ละฝ่ายขาดความเห็นอกเห็นใจและไร้ความกรุณา แม้ความรู้ความคิดสติปัญญาที่มีก็กลายเป็นของใจร้ายไปหมดสิ้น และนำพาผู้คนสู่สมรภูมิแห่งการประหัตประหาร เกิดเป็นสงครามกลางเมืองในที่สุด และแม้ระหว่างการปะทะยืดเยื้อ ก็ไม่ให้โอกาสกับกระบวนการเจรจา ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินที่เกิดขึ้นจึงสั่งสมเป็นความเกลียดชังทบเท่าทวีคูณ

จะเห็นได้ว่า ในขณะที่อยู่กับปัจจุบัน พวกเราก็เป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ด้วย ประวัติศาสตร์จึงเป็นทางเลือกของเราเช่นเดียวกับอนาคต ความคิดและการกระทำของเราในปัจจุบันก็คือการสร้างประวัติศาตร์


อนาคตอยู่ที่นี่ ประวัติศาสตร์ก็อยู่ตรงนี้ - อยู่ในมือของเรา อยู่ในการตัดสินใจของเรา อยู่ในปัจจุบันขณะนี้เอง

Back to Top