มุสโสลินีและฮิตเลอร์



โดย นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557

มีหนังมินิซีรีส์สัญชาติอิตาลีที่หลายคนคงไม่ได้ดู คือ Benito (Il Giovane Mussolini ) นำแสดงโดยนักแสดงชาวอิตาลีที่ไปมีชื่อเสียงในหนังฮอลลีวู้ดและทุกคนรู้จักกันดีคือ อันตานิโอ บานเดราส

หนังยาว ๖ ชั่วโมงพูดอิตาลีตลอดทั้งเรื่อง วางจำหน่ายในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Rise and Fall of Mussolini กำกับการแสดงโดย Gianluigi Calderone ใช้นักแสดงชาวอิตาลีเกือบทั้งหมด แม้ว่าหนังจะตั้งชื่อว่าความรุ่งเรืองและความเสื่อมของมุสโสลินีแต่ดูเหมือนหนังจะทำได้เพียงแค่ครึ่งแรก คือแสดงให้เห็นเพียงขาขึ้น ซึ่งก็ปาเข้าไปมากกว่า ๓๐๐ นาทีแล้ว ยังไม่ทันจะเห็นขาลงหนังก็ชิงจบเสียก่อน

หรือว่าที่เห็นในจอนั่นแหละคือ “ขาลง” แม้ว่าจะแสดงให้เห็น “ขาขึ้น” ก็ตาม

พูดง่ายๆ ว่าอะไรที่เขาทำ เป็นความเสื่อมของตนเองและของประเทศชาติตั้งแต่แรก อยู่ที่ใครจะมองเห็นได้เร็วกว่ากัน

หนังออกฉายปี ค.ศ. ๑๙๙๓ เวลานั้นนักแสดงนำคืออันตานิโอ บานเดราส อายุ ๓๓ ปี เพิ่งจะเป็นที่รู้จักบ้างจากหนัง The Mambo Kings ปี ๑๙๙๒ ก่อนที่จะมีชื่อเสียงไปทั่วโลกจากหนัง Desperado ในเวลาอีก ๒ ปีต่อมาคือปี ๑๙๙๕ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากหลายคนไม่ทราบว่า เขาเคยรับบท เบนิโต มุสโสลินี ในช่วงแรกๆ มาก่อน


หนังเปิดเรื่องเมื่อมุสโสลินีในวัยหนุ่มเดินทางไปเป็นครูสอนหนังสือในเมืองเล็กๆ เมื่อปี ๑๙๐๑ เพียงไม่กี่วันเขาก็ฉวยโอกาสหลับนอนกับบุตรสาวของครูใหญ่ซึ่งเป็นแม่ลูกอ่อน หลังจากฉากนี้เราจะเห็นความมือไวใจเร็วในเรื่องผู้หญิงของเขาอีก ๓-๔ ครั้งติดๆ กันตลอดทั้งเรื่อง เรียกว่าพบใครชอบใจก็ไม่รอช้าที่จะรุกเข้าใส่แล้วชวนขึ้นเตียงในทันที

เมื่อครูใหญ่และชุมชนหมู่บ้านจับเขาได้แล้วไล่ออก เขาเดินทางไปเป็นคนงานขุดหินแบกหินในเหมืองแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงไปทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้างในเขตมหาวิทยาลัยเจนีวา ที่นี่เขาพบรักนักศึกษาแพทย์สาวสวยลูกผู้ดีมีสกุล จึงลงทุนปลอมตัวเป็นนักศึกษาเข้าไปนั่งเรียนหนังสือด้วยและได้หลับนอนกับเธออีก เวลานั้นความเป็นอยู่ของกรรมกรเหมืองและกรรมกรก่อสร้างย่ำแย่ มุสโสลินีซึ่งมีความคิดคล้อยตามแนวทางสังคมนิยม จะคอยพูดจาปลุกระดมกรรมกรทุกครั้งที่มีโอกาส เมื่อเกิดเหตุการณ์คนงานคนหนึ่งตกร้านถึงตาย เขาจึงได้โอกาสนำการประท้วงเป็นครั้งแรก


บทบาทการนำของเขาชักพาเขาเข้าสู่ที่ประชุมของพรรคสังคมนิยมแห่งชาติ ที่ซึ่งเขาได้พบรักกับแองเจลิกา (Angelica Balabanoff, ๑๘๗๙-๑๙๖๕) แกนนำคนสำคัญของพรรคเชื้อชาติรัสเซียที่ได้เสียกับเขาในเวลาอันรวดเร็ว และจะผูกพันกันอีกหลายปีทั้งเรื่องหน้าที่การงานและเรื่องส่วนตัว มุสโสลินีได้ปราศรัยในที่ประชุมพรรคเป็นครั้งแรก แต่ด้วยแนวคิดหัวรุนแรงทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากแกนนำพรรคส่วนใหญ่ วิธีการรุนแรงที่เขาทำ ทำให้ถูกตัดสินเนรเทศออกจากเจนีวา และออกจากทริเอสเตซึ่งเวลานั้นเป็นของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (ปัจจุบันทริเอสเตอยู่ในดินแดนอิตาลี)

มุสโสลินีเดินทางกลับบ้านเกิดที่เมืองฟอร์ลี แต่งงานกับราเชล อดีตนักเรียนที่เขาเคยตีมือไปหนึ่งครั้ง และเข้าร่วมกิจกรรมของพรรคสังคมนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยบทบาทอันโดดเด่นในการเมืองท้องถิ่น ทำให้เขาได้ทำหน้าที่บรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์ Avanti ที่มิลานซึ่งเป็นกระบอกเสียงสำคัญของพรรคเวลานั้น

แล้วสงครามโลกครั้งที่ ๑ อุบัติขึ้น มุสโสลินีใช้โอกาสที่พวกสังคมนิยมหรือ “พวกสีแดง” กำลังต่อสู้กับพวกนิยมสาธารณรัฐหรือ “พวกสีเหลือง” ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันหลายครั้ง ให้ทั้งสองสีหันมาร่วมมือกันต่อต้านรัฐบาลฝ่ายนิยมกษัตริย์ด้วยการไม่ยอมเกณฑ์ทหาร และไม่ยอมเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ความสำเร็จในการรวมคนสองสีที่เห็นต่างกันเข้าเป็นหนึ่งเดียวครั้งนี้ คือจุดเริ่มต้นของการไต่ขึ้นสู่อำนาจไม่หยุดยั้ง

แต่ด้วยความมุทะลุและใช้ความรุนแรงไม่เลือกหน้า ทำให้เขามีศัตรูในพรรคมากมายคอยสกัดกั้นบทบาทจนกระทั่งถอดถอนเขาออกจากหน้าที่ดูแลหนังสือพิมพ์ซึ่งเป็นอาวุธที่ทรงอำนาจมากที่สุด ในตอนจบของหนัง มุสโสลินีหันไปนิยมกษัตริย์และใช้โอกาสนั้นนำอิตาลีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๑ ทั้งที่เขาต่อต้านมาตั้งแต่แรกอย่างหน้าตาเฉย

ตลอดทั้งเรื่อง มุสโสลินีเป็นนักพูดและนักฉวยโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผู้หญิง หน้าที่การงาน หรือการชิงอำนาจ เขามีข้อดีอยู่ข้อหนึ่งคือไม่กลัวและไม่หลบเมื่อพบเรื่องยากๆ ที่ไม่มีใครกล้าทำ มีคำพูดติดปากเขาในหนังเรื่องนี้หลายครั้งคือ “try me” ใครที่ได้ยินก็จะ “ลองใช้” เขาทำงานทุกที เพราะไม่มีใครกล้าเปลืองตัวทำงานยากหรืองานสกปรกชิ้นนั้น ดังนั้นยกให้ครูบ้านนอกคนหนึ่งทำจึงไม่มีอะไรจะเสีย แต่การณ์กลับปรากฏว่าเขาทำสำเร็จทุกครั้งไปจริงๆ เสียด้วย



ในขณะที่หนังเรื่องนี้ฉายภาพมุสโสลินีเป็นนักฉวยโอกาสที่ใจกล้า เด็ดเดี่ยว และมีความสามารถ หนังมินิซีรีส์อีกเรื่องหนึ่งฉายภาพฮิตเลอร์เป็นนักสร้างภาพและนักแสดง

หนังมินิซีรีส์สองรางวัลเอ็มมีปี ๒๐๐๓ สัญชาติคานาดา Hitler: The Rise of Evil กำกับการแสดงโดย Christian Duguay ได้นักแสดง โรเบิร์ต คาร์ไลล์ รับบท อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และ ปีเตอร์ โอทูล รับบทประธานาธิบดีฮินเดนเบิร์ก หนังสร้างได้ไม่ดีนัก มีข้อเท็จจริงหลายตอนที่คลุมเครือ อย่างไรก็ตามเรื่องการสร้างภาพและการแสดงของฮิตเลอร์นั้นเป็นที่รู้กัน ในแง่มุมนี้ หนังได้ฉายให้เห็นถึงทีมงานของฮิตเลอร์ที่ช่วยกันสร้างฉาก สร้างอาคาร สร้างสัญลักษณ์ โฆษณาชวนเชื่อ และตกแต่งสิ่งแวดล้อมเพื่อปลอบประโลมชาวเยอรมันให้เห็นดีเห็นงามไปกับความรุ่งเรืองของพรรคนาซี เฉพาะเรื่องหนวดที่เป็นเอกลักษณ์และการซ้อมโบกไม้กำมือดูเหมือนจะได้รับการขับเน้นเป็นพิเศษ

หนังฉายตั้งแต่ฮิตเลอร์เป็นทหารไปร่วมรบสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในปี ๑๙๑๔ ต้องทนลำบากตรากตรำเสี่ยงตายในสนามเพลาะเช่นทหารทั่วไป จนกระทั่งได้เข้าร่วมพรรคสังคมนิยมแห่งชาติแล้วไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ ตามลำดับ ใช้ช่องทางของประชาธิปไตยในการสถาปนารัฐตำรวจ แล้วจบลงเมื่อพรรคนาซีครองอำนาจเบ็ดเสร็จหลังการตายของฮินเดนเบิร์กในปี ๑๙๓๔

คนหนึ่งเป็นนักพูดและนักฉวยโอกาส คนหนึ่งเป็นนักสร้างภาพและนักแสดง ทั้งสองคนทำให้มีคนตายมากกว่า ๕๐ ล้านคนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นทหาร ๒๐ ล้านคน พลเรือน ๒๓ ล้านคน ชาวยิว ๖ ล้านคน และอีก ๑ ล้านคนเป็นชาวยิปซี คนรักร่วมเพศ และผู้พิการปัญญาอ่อนประเภทต่างๆ

ที่เจ็บใจกันเสมอมาคือ เวลานั้นมีผู้คนหลงเชื่อพวกเขามากมายเพียงนั้นได้อย่างไร คนสมัยนั้นสูญเสียความสามารถที่จะเห็นความเป็นจริงและความรุนแรงครั้งใหญ่ที่จะติดตามมาได้อย่างไร

อะไรที่เราเห็นว่าเป็นเรื่องถูกต้องในวันนี้ หรือที่แท้แล้วเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างร้ายแรง

Back to Top