พลิกชีวิตด้วยนิวโรไซน์



โดย วิศิษฐ์ วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 13 สิงหาคม 2559

เมื่อจิตเดิมแท้ถูกโจรสลัดปล้น

จิตเรานั้นเป็นจิตเดิมแท้ ส่องสว่าง สุข สงบ เบิกบาน เป็นธรรมชาติพื้นฐานอยู่แล้ว

แต่มีโจรสลัดสองพวก พวกแรกคือ โหมดค่าตั้งต้น ที่ดำเนินไปด้วยอัตโนมัติที่หลับใหล

เราจะต้องเข้าใจว่า สมองมีกลไกเพื่อให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น สิ่งใดที่เราทำเป็นประจำ สมองจะช่วยจดจำ สร้างวงจรอัตโนมัติไว้ เพื่อให้เราทำงานง่ายขึ้นในครั้งต่อไป จนกลายเป็นวงจรอัตโนมัติ แต่เนื่องจากมันเป็นไปอย่างอัตโนมัติ มันจึงหลับใหล

ในอัตโนมัติที่หลับใหลนี้ สมองส่วนหน้าไม่ต้องตื่นขึ้นมาทำงาน เพราะสมองส่วนต่างๆ ดำเนินไปเอง ด้วยมีความจำของวงจรอัตโนมัติอยู่ สมองจึงแทบไม่ค่อยรับรู้เรื่องราวใหม่ๆ หากแต่ดาวน์โหลดการรับรู้เดิมๆ มา ดังนั้นการรับรู้จึงเป็นเพียงการประมาณการ และโน้มเอียงที่จะนำอคติเดิมๆ เข้ามาก่อประกอบ หากเราทำงานอยู่ในโหมดอัตโนมัติที่หลับใหล หรือโหมดค่าตั้งต้น มันจะอยู่ในความคุ้นชินเดิมๆ เหมือนเราเดินละเมอ เหมือนเราใช้ชีวิตอย่างหลับใหล ไม่ตื่น อยู่แต่ในกล่อง ไม่ออกไปนอกกล่อง ชีวิตจึงไม่มีการเรียนรู้และการพัฒนาตัวเอง

โจรสลัดพวกที่สอง คือทรอม่า หรือปม หรือบาดแผลในอดีต โดยเฉพาะในวัยเยาว์

เวลาเกิดทรอม่า คือเมื่อมีสิ่งใดเข้ามากระทบจิตใจอย่างรุนแรง ท่วมท้นเกินกว่าจิตใจจะรับได้ มันจะเกิดอาการช็อก สมองส่วนที่ใช้ในการพูดซึ่งเป็นสมองส่วนเดียวกับที่ใช้ในการประมวลผลจะหยุดทำงาน คลิปวิดีโอของการรับรู้ต่างๆ เลยไม่ก่อประกอบเป็นประสบการณ์ แต่เป็นเศษเสี้ยวความทรงจำต่างๆ ที่ไร้ความหมาย โดยสมองจะบันทึกไว้นอกเหนือจากระบบความทรงจำปกติ ทำให้เสี้ยวเศษความทรงจำเหล่านี้กลายเป็นโจรสลัดคอยปล้นสะดมความเป็นปกติและความแจ่มใสของจิตใจพื้นฐานไปครั้งแล้วครั้งเล่า

อีกประการหนึ่ง เสี้ยวเศษความทรงจำเหล่านี้ไม่มีป้ายบอกเวลาอีกด้วย เวลากลับมาหลอกหลอน จึงกลายเป็นภาพฉายในปัจจุบัน เมื่อฉายไปบนใคร เราจะคิดว่าคนคนนั้นทำให้เราเสียความรู้สึก ทั้งที่เขาอาจจะไม่ได้ทำร้ายเรา หากแต่มีบางอย่างคล้ายคลึงกับเรื่องราวในอดีตที่เราเคยถูกทำร้ายจิตใจ เราเลยเหมาเอาว่าคนคนนั้นกำลังทำร้ายหรือมีท่าทีจะทำร้ายเรา เป็นต้น เพราะมันไม่มีป้ายบอกเวลา และสามารถฉายทาบทับบุคคลและเหตุการณ์ต่างๆ ได้ ทำให้เรากลับไปอยู่ในความรู้สึกแย่ๆ ดังเช่นอดีตได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เรียกว่า retraumatize คือกลับไปสู่สภาวะแย่ๆ เวลาช็อก

ทรอม่ามีได้หลายประการ โหมดอัตโนมัติที่หลับใหลก็มีมากมาย จนอาจครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของชีวิต ทำให้เราดำรงชีวิตอย่างไม่ผาสุก เต็มไปด้วยอารมณ์บูดเน่า ไร้พลัง และไม่สามารถกำหนดชีวิตด้วยตนเองได้

ขั้วตรงข้ามกับโจรสลัด คือการกลับสู่จิตเดิมแท้ พื้นฐานของจิต ที่สมองส่วนหน้ากลับมาทำงานตามปกติ


พลังงานของสมองส่วนหน้า

เมื่อสมองส่วนหน้าทำงาน อมิกดาลาจะหยุดทำงาน เมื่อสมองส่วนหน้าทำงาน มันจะเป็นผู้กำกับวงออร์เคสตรา สามารถสั่งสมองส่วนอื่นๆ ให้ทำงานหรือหยุดทำงานได้หมด หรือสามารถตัดสัญญาณที่ส่งมาจากสมองส่วนอื่นๆ ได้ด้วย หากต้องการสมาธิ


เทียบเคียงพุทธธรรม

เมื่อสมองส่วนหน้าเปิดดำเนินการ หรือได้รับการ activate สมองส่วนหน้าจะสามารถก่อเกิด

สุตมยปัญญา คืออ่านหรือฟังเรื่องราวได้อย่างมีสมาธิ

จินตมยปัญญา คือสามารถคิด โฟกัส ติดตามคิดเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบและไร้คลื่นรบกวน

สุดท้ายคือ ภาวนามยปัญญา สำคัญมาก ที่จริงต้องเขียนแยกเป็นอีกหัวข้อหนึ่งไปเลย คือการก่อเกิดญาณปัญญา ญาณทัศนะ ปิ๊งแว้บ ยูเรก้า แล้วแต่จะเรียกชื่อ แต่มันเป็นเพชรเม็ดเอกในกระบวนการเรียนรู้ของทุกๆ ศาสนาหรือลัทธิ และญาณปัญญาจะมีให้เราตลอดเวลา เป็นเพื่อนร่วมคิดให้เราได้ตลอดเวลา ฟรีๆ หากเรารู้จักวิธีเข้าใจภาวะจิตใจที่ญาณปัญญาจะถูกส่งผ่านมาให้

แต่จะขอกล่าวถึงสองประเด็นแรกก่อน คือ สุตมยปัญญาและจินตมยปัญญา เป็นเพราะระบบการศึกษาของเรายังไม่สามารถเหนี่ยวนำให้เด็ก ให้เยาวชนได้รับสองกระบวนการดังกล่าว ระบบการศึกษาของเราจึงล้มเหลว การเรียนเพื่อจำเพื่อสอบ ไม่ได้พัฒนาปัญญาสองประการข้างต้นเลย

เราต้องกลับไปหาอิทธิบาท 4 ธรรมะแห่งความสำเร็จ คือต้องเริ่มต้นที่ฉันทะใช่ไหม? พอเกิดฉันทะ ก็จะเกิดพลัง (วิริยะ) หรือแรงบันดาลใจที่ให้พลังในการเรียนรู้ แล้วเราก็จะได้ จิตตะ (สมาธิ) ตามมา (จิตตะทำให้เราฟังและอ่านอย่างมีสมาธิ คิดได้อย่างมีโฟกัส อันเป็นคุณสมบัติดีงามขั้นแรกของการศึกษาที่แท้) และวิมังสา คือการใคร่ครวญ หรือ reflections ซึ่งพอเราใคร่ครวญ จิตเราจะเข้าไปในคลื่นอัลฟา คือสงบลง สุขุมเยือกเย็น แล้วคลื่นอัลฟา (คลื่นฝัน) จะไปเชื่อมโยงคลื่นตื่น (คลื่นเบต้า) กับคลื่นหลับ (คลื่นเทต้า) เข้าด้วยกัน ทำให้รอยต่อระหว่างจิตสำนึกกับจิตไร้สำนึกเปิดออก ทำให้ประตูเชื่อมระหว่างโลกภายนอกกับโลกภายในเปิดออก ทำให้เราสามารถกลับไปเห็นกระบวนการทำงานของจิต สะท้อนการทำงานของจิตหรือโลกภายในของเราได้ สามารถเห็นข้อจำกัด จุดบอด และพัฒนาโลกภายในของเราได้ (จิตตะจะอยู่ตรงกันข้ามกับโหมดยถากรรม จากการถูกปล้นพื้นที่สมองไป และภาวนามยปัญญาจะเป็นขั้วตรงกันข้ามกับทรอม่าหรือการระเบิดออกของปม)


การฝึกฝนเพื่อเปิดประตูสู่ญาณปัญญา

หนึ่ง คือการฝึกอยู่กับจิต อย่างไม่มีหัวข้อเรื่อง ฝึกดำรงอยู่กับความว่าง จิตว่าง การฟังเพลงบรรเลงดีๆ ที่นำพาจิตเข้าสู่คลื่นอัลฟา การดำรงอยู่กับปัจจุบันขณะด้วยอุบายหรือด้วยวิธีต่างๆ เช่น การรับรู้ลมหายใจ การรับรู้ความรู้สึกอยู่กับกาย เป็นต้น

สอง คือการเอาญาณปัญญาเข้าไปทำงานกับทุกเรื่องราวของชีวิต การดำรงอยู่กับการไม่ต้องเค้นคิด ไม่ต้องเร่งเครื่องกับชีวิตจนหมดพลัง เรื่องนี้ควรเรียนรู้เรื่องประสาทอัตโนมัติ หรือ sympathetic and parasympathetic หรือเรื่องคันเร่งกับเบรก กล่าวคือ ในความเป็นปกติ เราจะใช้คันเร่งและเบรกได้อย่างเหมาะสมกลมกลืน แต่หากเราเร่งเครื่องตลอดเวลา ปัญหาคืออาการค้างของคันเร่ง ซึ่งเป็นปัญหากับสมองส่วนหน้าที่ใช้พลังมากเกินไป อ่อนล้าจนไม่มีพลังกระทำการดีๆ และทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอีกด้วย

Back to Top