เคล็ดวิชาที่เรียนจากหลักสูตรสายอาร์โนลด์ มินเดล



โดย วิศิษฐ์ วังวิญญู
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2560

ผมไปเรียนหลักสูตร "พลานุภาพแห่งการรู้เท่าทัน: ประชาธิปไตยเชิงลึกสำหรับการนำกระบวนการกลุ่มใหญ่และการโค้ช" (Deep Democracy Leadership, Large Group Facilitation & Coaching) มาครับ โดย แมกซ์และเอเลน ชูปัค เซียนอันดับต้นๆ ศิษย์ก้นกุฏิของอาร์โนล์ด มินเดล ผู้ก่อตั้ง Process Work ซึ่งมาสอนเมืองไทยเป็นครั้งแรกที่ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

ข้อความด้านล่างเป็นกิจกรรมบางอย่างที่อาจใช้ในงานโค้ชแบบมินเดลได้

ผมเคยเข้าเรียนเรื่อง Process Work กับจิล เอมสลี มาแล้วอย่างน้อยสองรอบ รวมกับช่วงหนึ่งที่ได้อ่านหนังสือของอาร์โนลด์ มินเดล อย่างเมามัน เพราะผมมีนิสัยอ่านหนังสืออย่างดื่มด่ำเป็นคนคนไป เมื่อเห่อมินเดลก็จะอ่านงานของมินเดลเหมือนไปดำรงอยู่ในโลกของเขาเลย จึงอาจกล่าวได้ว่าผมมีโอกาสชุบตัวอยู่ในโลกของมินเดลพอสมควร

แต่การเข้าอบรมกับแมกซ์และเอเลน ทำให้ผมได้เรียนสิ่งที่แตกต่างจากที่เคยเรียนรู้มาบ้างเหมือนกัน โดยงานอบรมจะแบ่งออกเป็นสองช่วงในหนึ่งวัน ช่วงเช้ามักจะเป็นการโค้ชและช่วงบ่ายจะเป็นการนำกระบวนการในกลุ่มใหญ่ (large group facilitation) หรือการเรียนรู้เรื่องกระบวนการกลุ่ม (group process)


ผมจะขอยกตัวอย่างแบบฝึกหัดการโค้ชของพวกเขามาสาธยายให้ฟังกันครับ

กิจกรรมหนึ่ง ผมได้ถอดตัวเองออกมาและเห็นตัวเองเป็นสิงโต แรกเริ่มเขาให้นึกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ที่ท้าทายเรา ทำให้เรากังวลใจ หรือทำให้เราต้องเพิ่มคุณภาพบางอย่างเข้ามาเพื่อให้เกิดความมั่นใจ หลังจากนั้น เขาให้นั่งลงและผ่อนคลายร่างกายให้มากที่สุด ผ่อนลมหายใจให้สบายๆ แล้วค่อยๆ เลื้อยหรือขยับ ปรับเปลี่ยนท่วงท่า บิดไปบิดมาอย่างไรก็ได้ เพื่อหาความสบายๆ คลายอาการเกร็งทั้งหลายไปด้วย ในเวลาเดียวกัน ให้หาท่าร่างที่ดีที่สุด อาจเป็นท่าสุดประหลาด ได้ทั้งนั้น แล้วเคลื่อนไหวในท่านั้นซ้ำไปซ้ำมา เพื่อสัมผัสว่าเราเป็นสัตว์อะไร

พอเราได้สัตว์ตัวนั้นแล้ว ก็กลับมาสู่เหตุการณ์ในอนาคตที่ท้าทายเรา สำหรับผม งานที่ท้าทายคือโปรแกรม “คุยกับใหญ่” 4 วันกับปัญญาชนคนสำคัญในสังคมไทย ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากงานนี้ แล้วเราเอาแบบแผนพลังของสัตว์นั้นๆ เข้ามาอยู่ในจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์อนาคต ว่าเราเห็นอะไรบ้าง แล้วเราจะได้ญาณปัญญาบางอย่างที่จะเอาไปทำงานกับงานในอนาคตนั้นๆ

สำหรับผม มันคือสิงโต พลังงานแบบสิงโตกับงานคุยกับใหญ่ ใช่ครับ มันตอบโจทย์ให้ผมได้ดีทีเดียว

แล้วถ้าจะถอดบทเรียนกิจกรรมโค้ชแบบนี้อย่างลุ่มลึกขึ้น ผมจะเล่าทฤษฎีอะไรได้บ้าง?

สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่มินเดลค้นพบคือ กายฝัน (dream body) งานของเขาจะเล่นกับกายฝันอย่างมาก ด้วยกายไม่ได้เป็นเพียงกายภาพล้วนๆ เท่านั้น หากกายกับจิตผูกติดกันหรือเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่าที่เราจะคาดคิดถึง ในกายจึงมีจิตด้วย มีตัวรู้ มีความทรงจำ มีปัญญา และยังสามารถเชื่อมต่อกับจิตจักรวาลหรือปัญญาของจักรวาลได้

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือช่องทาง (channels) ต่างๆ การจะเชื่อมต่อกับกายฝัน (สังเกตการใช้คำนะครับ กายเป็นรูป ฝันเป็นนาม กายกับจิตประสานกันเป็นรูปนาม เป็นหนึ่งเดียวกัน) อาจจะทำได้หลายช่องทาง ช่องทางหนึ่งที่มินเดลชอบใช้คือการเคลื่อนไหว คำว่าช่องทางนี้ ยังมีอีกคำหนึ่งคือ ช่องทางที่เราไม่ค่อยได้ใช้ (unoccupied channels) ซึ่งจะไปเชื่อมโยงกับ secondary process ส่วนช่องทางที่เราใช้บ่อยจะไปผูกพันกับ primary process

primary process กับ secondary process เป็นอีกสองคำที่มีความสำคัญมากเช่นกัน มินเดลนำมาจากหยินหยาง คือ ทุกอย่างมีขั้ว และเรามักจะไปเลือกขั้วใดขั้วหนึ่งในชีวิตและเอียงกระเท่เร่อยู่อย่างนั้น ชีวิตจึงขาดสมดุลหรือไม่สมมาตร กิจกรรมของมินเดลจึงมักจะนำทางเราให้ไปสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่คุ้นเคย (secondary process) ไม่ใช่อย่างแรก (primary) ที่เราคุ้นเคยมากๆ อยู่แล้ว เพื่อจะถ่างขยายความเป็นไปได้ของเรา ถ่างขยายโลกของเรา ไม่ให้เป็นโลกเชิงเดี่ยวที่คับแคบและมีข้อจำกัด เมื่อเรามองเห็นและสัมผัสความเป็นไปได้ เราจะมีอิสระในการสรรสร้างโลกคู่ขนานแห่งความเป็นไปได้อย่างปราศจากข้อจำกัดใดๆ

อีกกิจกรรมหนึ่งคือการหาจุดพลังและเข้าไปแช่อยู่ในจุดพลัง

นับเป็นการภาวนาง่ายๆ อย่างหนึ่ง โดยเขาให้นึกถึงสถานที่โดยเฉพาะเจาะจง ณ จุดๆ หนึ่งบนผืนโลกหรือในจินตนาการ เป็นจุดที่ให้ความปลอดภัย มั่นคง และให้พลังแก่เรา ของผมเป็นจุดที่เข้าไปอยู่ใต้น้ำ ผมอาจเคยเป็นปลาวาฬมาก่อนก็ได้ พอลงไปในน้ำ ผมเห็นแต่สีเขียวเข้มและอ่อนอยู่รายล้อมรอบตัว เหมือนเกราะกำบังที่ให้ความเย็นสบายและความอบอุ่นปลอดภัย

แมกซ์และเอเลนจะสลับเราไปสู่โลกคู่ขนานหนึ่ง สำหรับผมซึ่งกำลังฝึกตามแนวทางวัชรยานแบบทิเบต จะเรียกมันว่า pristine mind คือการนำพาไปสู่แสงใสกระจ่างหรือจิตเดิมแท้ ซึ่งที่จริงมีอยู่ในตัวเราแล้วนั่นเอง

ช่องสัญญาณที่พวกเขาใช้คือภาพ เราเห็นภาพ นำพาเราไปยังจุดแห่งพลัง เพียงเวลาไม่นาน จิตเราจะสงบลง สบาย มั่นคง เราผ่านเปลี่ยนจากเมฆหมอกหมองม่นที่ปกคลุมไปสู่แสงใจกระจ่าง ไปสู่จิตเดิมแท้ ไปสู่จิตพุทธะ ณ ที่นั้น เราได้พลิกตัวไปอยู่ในโลกคู่ขนานหนึ่งที่ไม่มีปัญหา ปัญหาใดๆ ที่สั่งสมมาจะหยุดชะงักไปชั่วขณะเมื่อสติปัญญาและความรักปรากฏ และเมื่อกลับมายังโลก เราก็จะคลี่คลายปัญหาใดๆ ได้ทั้งสิ้น

อีกกิจกรรมหนึ่งคือการไปท่องอวกาศ หรือการออกไปนอกโลก ผมเคยเรียนเรื่องนี้จากจิล เอมสลี มาแล้ว และยังจดจำมาใช้ในงานของตัวเองบ่อยๆ คือเวลาคนเรามีปัญหาหนักๆ หมกมุ่นวนเวียนเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง ผมจะพาออกไปนอกโลก ไปอยู่ในอวกาศ

โดยจินตนาการว่าเขาหรือเธอลอยขึ้นไปในอากาศ ในฟากฟ้า ค่อยๆ ลอยขึ้นไป ใช้จินตนาการดีๆ ภาพสวยๆ จะช่วย ค่อยๆ มองเห็นบ้านเล็กลงๆ ผู้คนบนพื้นโลกเล็กลงๆ และบรรยายถึงความเย็นสบายของสภาพแวดล้อมที่เราค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไป เห็นโลกใบกลมๆ สวยงาม แล้วบรรยายต่อว่า ในอวกาศเป็นอย่างไร นอกจากความเบาสบายตัว ยังมีความเป็นอิสระไร้กังวล การหลุดออกไปนอกโลก คือหลุดออกไปจากความกังวลหมกมุ่นทั้งหลาย หลุดออกไปจากกาลเวลาบนโลกไปอยู่ในอีกกาลเวลาหนึ่ง ที่เวลาดูเหมือนหมุนผ่านไปอย่างแช่มช้าลงเมื่อเทียบกับเวลาของโลก เวลาเพียงชั่วไม่กี่นาทีเทียบกับเวลาบนโลกเป็นสิบๆ ปี และแล้วเราก็เห็นวันที่ตัวเองนอนตายบนโลก มีคนมางานศพ มีคนเล่าเรื่องราวของชีวิตเรา มีหนังสือแจกงานศพที่เล่าเรื่องราวของเรา อาจจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เราอยากให้ลูกหลานมองเราอย่างไรเมื่อละโลกนี้ไปแล้ว แล้วนำพาตัวเองกลับมายังพื้นโลก สู่กาลเวลาและสถานที่ปัจจุบัน

ประสบการณ์เช่นนี้ส่งผลด้านบวกได้อย่างประหลาด หลายๆ คนสามารถหลุดออกจากวังวนของชีวิต คิดสิ่งใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์ หลุดออกไปจากปัญหาที่เป็นอยู่ได้อย่างน่าอัศจรรย์

นี้แลคือประสบการณ์ที่ผมได้จากการเรียนรู้ผ่านแมกซ์และเอเลน ชูปัค ในส่วนของการโค้ช

Back to Top