มนุษย์จำเป็นต้องมีจิตขนาดใหญ่
เพื่อที่จะบรรจุความเมตตา ความกรุณา
อันไม่มีที่ประมาณไว้ได้
โดย จุมพล พูลภัทรชีวิน
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 16 กรกฎาคม 2548
ชื่อของบทความนี้มีลักษณะที่เป็นอุปมาอุปไมย ต้องการสื่อให้มีความหมายและจินตภาพที่กว้างและยืดหยุ่น ไม่มีเจตนาที่จะสื่อว่ามายากลเป็นสิ่งไม่ดี หรือนักมายากลเป็นคนเลว เพราะนักมายากลเขารู้ตัวว่าเขากำลังทำสิ่งต่างๆ ให้ดู “เสมือนจริง” เพื่อสร้างความประหลาดใจและความประทับใจให้กับผู้ชมการแสดง นักมายากลเป็นอาชีพหนึ่งของการแสดง ถ้าแสดงได้ดีก็จะได้รับการยอมรับจากผู้ชมว่าเป็นนักแสดงมืออาชีพ
แต่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานของรัฐในทุกระดับและทุกประเภท ไม่ใช่นักแสดง ประชาชนไม่ต้องการความประทับใจหรือความประหลาดใจจากการแสดงให้ดูเสมือนว่าจริง เฉกเช่นเดียวกับนักมายากล ประชาชนต้องการผู้บริหารที่เป็นคนดี มีคุณธรรมจริง
ประชาชนต้องการผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานของรัฐทำงานเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม และของประเทศชาติที่แท้จริง
ประชาชนไม่ต้องการเห็นการแสดงที่ดูเสมือนว่าท่านเป็นคนดี มีคุณธรรม ทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ เพราะการแสดงเก่งไม่ใช่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าผู้แสดงเป็นคนดีหรือเป็นคนเลว บ่งบอกแต่เพียงว่าท่านแสดงเก่ง เป็นมืออาชีพทางการแสดงเท่านั้น
ความดี ความมีคุณธรรม การเป็นคนดี การเป็นคนมีคุณธรรม เป็นเรื่องภายในของคนๆ นั้น ที่วิวัฒน์มาจากการเรียนรู้ การได้รับการอบรมสั่งสอน ภายใต้บริบทแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละคน และสำแดงออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกให้ผู้อื่นได้รับรู้
ถ้าพฤติกรรมภายนอกที่ปรากฏสอดคล้องกับพฤติกรรมภายใน คือการคิดถูกคิดชอบ ที่มาจากความคิดที่ถูกที่ชอบ ก็น่าจะสรุปได้มั่นใจพอควรว่า ดี “จริง” ไม่ใช่แค่ดูดี “เสมือนจริง”
ถ้าพฤติกรรมภายนอกที่แสดงออกมา เกิดจากการคิดที่ไม่ถูกไม่ชอบ ที่มาจากความคิดที่ไม่ถูกไม่ชอบ แล้วเสแสร้งหรือมีเจตนาแสดงให้ดูเสมือนว่าท่านเป็นคนดี มีคุณธรรม มีความคิดและเจตนาที่ดีต่อผู้อื่นต่อประเทศชาติ
ท่านก็ไม่ใช่ผู้บริหาร หรือไม่ใช่พนักงานของรัฐในความหมายที่ควรเป็น ท่านเป็นแค่ผู้ประกอบอาชีพมายากล ที่แม้แต่นักมายากลมืออาชีพที่แท้จริงก็ไม่ยอมรับให้ร่วมสถาบัน
มาเป็นคนดี คนมีคุณธรรม ด้วยการคิดดี คิดถูก คิดชอบต่อสรรพสิ่ง ต่อประเทศชาติ ต่อชุมชน ต่อครอบครัว ต่อตนเอง และต่อมวลมนุษยชาติ ด้วยการสำแดงออกทางการกระทำอย่างมีความกล้าหาญทางคุณธรรมจริยธรรม
แล้วท่านจะเป็นคนดี คนเก่ง ที่อยู่ในใจของประชาชนตลอดไป เป็นรัฐบุรุษ เป็นรัฐสตรีของประเทศและของโลกที่จะถูกจารึกไว้
และที่สำคัญท่านจะเป็นเชื้อดี สิ่งแวดล้อมดี เป็นตัวแบบที่ดีให้แก่ลูกหลานและเยาวชนในรุ่นถัดๆ ไป
มาช่วยกันหว่านเมล็ดพันธุ์ของความดีให้ทั่วแผ่นดิน
มาช่วยกันสร้างความชุ่มชื่น เย็นฉ่ำ และเติมปุ๋ยชีวธรรมชาติ เพื่อให้เมล็ดพันธุ์แห่งความดีเหล่านั้นได้เจริญเติบใหญ่ด้วยความมั่งคงอย่างยั่งยืน ... จะดีไหม ?
มาใช้สมองส่วนหน้าให้มากกว่าสมองส่วนใน สร้างจิตสำนึกใหม่ ที่วิวัฒน์เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ... จะดีไหม ? (แม่ขอร้อง)
เมื่อไหร่มนุษย์จะ “ตื่นรู้” ด้วย “ปัญญา” ไม่ใช่แค่ “ตื่นเต้น” และ “ตื่นตัว” แล้ว “เต้นตาม” กับ “ความรู้” ที่อ้างว่า “ใหม่” และ “ทันสมัย” แล้วยึดเป็นสรณะ เป็นวิถีดำเนินชีวิต
เพราะ “ความรู้” จำนวนมากมาจากฐานคิดที่ไม่ถูกต้อง ความรู้จำนวนมากมาจากมายาคติ
ถ้าเราไม่มีสติ ไม่มีปัญญาที่จะรู้เท่าทัน เราก็จะ “หลง” และ “ไหล” ไปตามกระแสของความรู้ใหม่ที่เสมือนจริง แล้วเราก็ “ไหล” และ “หลง” อย่าง “หลงใหล” กับ “สังคมฐานความรู้” (Knowledge Based Society) และ “เศรษฐกิจฐานความรู้” (Knowledge Based Economy) จนทำให้เราขาด “เสรีภาพทางความคิด” ขาด “อิสรภาพทางปัญญา” เพราะเราได้พัฒนากลไกที่เสมือนจริงขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ จากฐานคิดเศรษฐกิจสุดโต่ง มายาคติที่ครอบงำไปทั่วโลก
ตัวอย่างกลไกหรือมายากลที่ผู้ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในคุกความคิดเศรษฐกิจสุดโต่ง ที่เรียกใหม่ให้ดูดีว่า เศรษฐกิจฐานความรู้ พัฒนาขึ้นมาอย่างแนบเนียน อย่างซ่อนเร้นเจตนาที่ถูกชักพาด้วยอคติ อวิชชา และกลายเป็นมายาคติในสังคมฐานความรู้ที่ขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจฐานความรู้ ได้แก่
แสดงความคิดเห็น