มนุษย์จำเป็นต้องมีจิตขนาดใหญ่
เพื่อที่จะบรรจุความเมตตา ความกรุณา
อันไม่มีที่ประมาณไว้ได้
โดย พระไพศาล วิสาโล
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2554
เย็นวันหนึ่ง ทันทีที่พ่อรู้ว่าลูกชายวัยรุ่นมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนร่วมโรงเรียนจนต้องหามส่งโรงพยาบาล พ่อก็ตำหนิลูกว่าทำอย่างนั้นได้อย่างไร ลูกให้เหตุผลว่าตนถูกเจ้าหมอนั่นก่อกวนที่โรงเรียนเป็นประจำ เขาพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย แต่กลับทำให้นักเรียนเกเรนั้นได้ใจ จึงรังควาญเขาหนักขึ้น บ่ายวันนี้เจ้าหมอนั่นก็มาเยาะเย้ยถากถางเขาอีกต่อหน้าผู้คนนับสิบ คราวนี้เขาทนไม่ได้ จึงต่อยและเตะมันจนหมอบ
ลูกไม่รู้สึกผิดเลยกับการทำเช่นนั้น พ่อจึงถามลูกว่า หากพ่อแม่ของเด็กคนนั้นฟ้องตำรวจจะทำอย่างไร ลูกโต้กลับว่า “เจ้านั่นมันเลวมาก สมควรแล้วที่เจ็บตัว” พ่อพยายามชี้แจงด้วยเหตุผล ลูกก็ไม่ฟัง เถียงตลอด สุดท้ายพ่อก็พูดเสียงดังว่า “ครอบครัวของเราจะไม่แก้ปัญหาด้วยกำลัง” ลูกจึงพูดสวนขึ้นมาว่า “ถ้าเป็นครอบครัวของเรา ต้องยิงมันทิ้ง”
พ่อคิดไม่ถึงว่าลูกจะพูดเช่นนั้น จึงบันดาลโทสะ ตบหน้าลูกอย่างแรง กว่าพ่อจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นกับลูกทั้งกายและใจไปแล้ว
พ่อต้องการสอนลูกให้แก้ปัญหาด้วยสันติวิธี แต่พอลูกไม่เชื่อพ่อ พ่อกลับใช้ความรุนแรงกับลูก เป็นความรุนแรงที่เกิดจากความต้องการให้ลูกใช้สันติวิธี
น่าคิดว่า อะไรทำให้พ่อทำสิ่งตรงข้ามกับความเชื่อของตน คำตอบก็คือ นอกจากพ่อจะไม่พอใจที่ลูกคิดต่างจากพ่อแล้ว ยังโกรธที่ความคิดเห็นของตนถูกโต้แย้งและท้าทายซึ่ง ๆ หน้า
เหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่า ความคิดความเชื่ออะไรก็ตาม แม้นดีวิเศษเพียงใด แต่หากเรายึดติดถือมั่นกับมันแล้ว ก็ย่อมเป็นทุกข์และทนไม่ได้ที่ความคิดนั้นถูกปฏิเสธ เพราะเหมือนกับว่าตัวตนนั้นถูกปฏิเสธหรือถูกกระทบไปด้วย จึงขุ่นเคืองใจ และหากไม่รู้ทันอารมณ์ดังกล่าว ปล่อยให้มันลุกลามเป็นความโกรธ ถึงจุดหนึ่งก็ลืมตัวและพร้อมที่จะระบายความโกรธ หรือทำสิ่งต่าง ๆ ออกไปโดยไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งตรงข้ามกับความคิดความเชื่อนั้น
มิใช่แต่ความคิดความเชื่อในทางสันติวิธีเท่านั้น ที่หากยึดมั่นถือมั่นเข้าแล้ว ก็ทำให้แสดงความรุนแรงออกไป แม้แต่ความคิดความเชื่อในทางศาสนา ก็สามารถเป็นประเด็นที่นำไปสู่ความรุนแรงได้ เพราะยึดติดถือมั่นในความเชื่อนั้นจนทนไม่ได้ที่เห็นคนอื่นคิดต่างจากตน ในประวัติศาสตร์มีตัวอย่างมากมายของสงครามและการประหัตประหารเพราะความแตกต่างทางด้านศาสนา ทั้ง ๆ ที่ศาสนาเหล่านั้นพร่ำสอนสันติภาพก็ตาม
แม้กระทั่งในหมู่ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยที่มีศรัทธาแน่นแฟ้นในพุทธศาสนา บ่อยครั้งที่พบว่ามีการใช้ท่าทีที่ไม่เป็นพุทธ ในการตอบโต้รับมือกับบุคคลในศาสนาอื่นหรือผู้ที่ถูกมองว่ากำลังบั่นทอนคุกคามพุทธศาสนา ท่าทีดังกล่าวได้แก่การใช้ถ้อยคำที่รุนแรง หยาบคาย หรือถึงขั้นใส่ร้าย ปล่อยข่าวลือ หนักกว่านั้นก็คือสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงกับคนเหล่านั้น ท่าทีเหล่านั้นล้วนตรงข้ามกับคำสอนของพระพุทธองค์ แต่ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยพร้อมจะใช้ท่าทีดังกล่าวอย่างเต็มที่ด้วยเหตุผลว่าเพื่อปกป้องพุทธศาสนา การใช้ท่าทีไม่เป็นพุทธเพื่อธำรงพุทธศาสนากลายเป็นเรื่องที่ดูเหมือนชอบธรรมด้วยเหตุผลว่า พุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐและควรแก่การปกป้องด้วยวิธีใด ๆ ก็ได้แม้จะเป็นวิธีที่ผิดศีลผิดธรรมก็ตาม นี้ก็ไม่ต่างจากการใช้วิธีรุนแรงเพื่อปกป้องแนวทางสันติวิธี ซึ่งวิญญูชนย่อมรู้ดีว่าเป็นวิธีการที่กลับบั่นทอนสันติวิธีเสียเอง
การใช้วิธีการใด ๆ ก็ได้เพื่อปกป้องความคิดความเชื่อหรือจุดหมายที่ถือกันว่าดีงามนั้น ได้กลายเป็นกระแสหลักในสังคมไทยไปแล้วก็ว่าได้ ดังนั้นเราจึงเห็นการใช้วิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเพื่อปกป้องประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น ก่อการ (และสนับสนุน) รัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญเพื่อหวังจะรักษาประชาธิปไตยให้พ้นจากน้ำมือของนักการเมืองที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อปิดปากคนที่ตนเชื่อว่ามีอุดมการณ์ที่สวนทางกับประชาธิปไตย ส่วนคนที่ไม่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ จำนวนไม่น้อยก็หันไปใช้วิธีการอื่นเพื่อกดดันและกีดขวางคนที่คิดต่างจากตน ไม่ให้แสดงความคิดความอ่านที่ไม่สอดคล้องกับอุดมการณ์ประชาธิปไตย เช่น ใครที่สนับสนุนรัฐประหารหรืออยู่ฝ่ายที่ไม่สนับสนุนประชาธิปไตยในแบบของตน หรือแม้แต่คิดเห็นไม่เหมือนตนหรือพวกของตน ก็จะถูกรุมด่าทอดูหมิ่นเหยียดหยาม ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย หรือถูกโห่ฮาด้วยอารมณ์เกลียดชัง แทนที่จะโต้เถียงกันด้วยเหตุผล อันเป็นวิถีทางประชาธิปไตย
จริงอยู่เรามีสิทธิที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดเหล่านั้น แต่อย่าลืมว่าประชาธิปไตยหมายถึงการให้พื้นที่และโอกาสในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทั้งปวง รวมทั้งความเห็นที่ล้าหลังหรือไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตยตราบใดที่มิได้ดูถูกเหยียดหยามใคร หากใช้วิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว แม้จะทำเพื่อประชาธิปไตยก็ตาม แต่ในที่สุดวิธีการดังกล่าวกลับบ่อนเซาะประชาธิปไตยเสียเอง
จะว่าไปแล้ว เชื่ออะไร ก็ไม่สำคัญเท่ากับเชื่ออย่างไร แม้จะเชื่อสิ่งที่ดีมีเหตุผล แต่หากเชื่ออย่างยึดติดถือมั่นหรืองมงายหัวปักหัวปำ ก็อาจก่อผลเสียได้ เพราะการเชื่ออย่างนั้นมักทำให้ตนใจแคบ ทนไม่ได้เมื่อเห็นคนอื่นคิดต่างจากตน ยิ่งมีความมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเชื่อนั้นประเสริฐเลิศล้ำ ใครที่ไม่เชื่อเหมือนตน ก็มักจะถูกตราหน้าได้ง่าย ๆ ว่า เป็นคนโง่ หรือเป็นคนเลวไปเลย และเมื่อใดก็ตามที่ตัดสินเขาแล้ว ก็ง่ายที่เราจะทำอะไรกับเขาก็ได้ แม้จะใช้วิธีการเลว ๆ หรือชั่วร้ายกับเขา ก็ไม่รู้สึกผิด เหตุผลก็เพราะ “มันเลว จึงไม่สมควรที่จะทำดีกับมัน” เป็นเพราะเหตุนี้คนไทยไม่น้อยจึงเห็นด้วยกับการสังหารโหดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในนามของการพิทักษ์ชาติศาสน์กษัตริย์ เมื่อเช้าวันที่ ๖ ตุลา ๒๕๑๙ รวมทั้งสนับสนุนการฆ่าตัดตอนพ่อค้ายาเสพติด และเห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงกับผู้ประท้วงกลางกรุงเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว รวมทั้งกรณีอื่น ๆ ก่อนหน้านั้น อาทิ กรณีประท้วงที่ตากใบปี ๒๕๔๗
ความดีนั้น หากยึดติดถือมั่นมาก ก็อาจทำให้เผลอทำเลวได้ โดยเฉพาะเมื่อทำในนามของความดี ยิ่งยึดติดถือมั่นว่าตนเป็นคนดีด้วยแล้ว ก็พร้อมจะทำอะไรกับคน (ที่ตนตัดสินว่า) เลวได้ ทั้งนี้เพราะมั่นใจว่าที่ทำไปนั้นเพื่อธำรงความถูกต้อง แต่บ่อยครั้งมันกลับเป็นการทำเพื่อยืนยันความถูกต้องของตนเองมากกว่า หรือเพื่อกำจัดคนที่คุกคามความเชื่อของตน กล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นการทำเพื่อ “ตัวกู ของกู” แรงจูงใจดังกล่าวอาจถึงขั้นผลักดันให้จัดการกับคนที่คิดต่างจากตนด้วยซ้ำ คือไปไกลถึงขั้นเห็นว่าคนที่ไม่เชื่อความดีอย่างตนนั้นเป็นคนชั่ว ดังนั้นจึงสมควรที่จะใช้วิธีการใด ๆ กับเขาก็ได้ แม้จะทำในนามของความถูกต้อง แต่โดยเนื้อแท้แล้วก็เป็นการทำเพื่อค้ำจุนปกป้องความยิ่งใหญ่มั่นคงแห่งตัวตน เพราะในส่วนลึกจะรู้สึกอยู่เสมอว่า “ตัวกู” หรือ “ความเชื่อของกู” นั้นถูกบีบคั้นคุกคาม ตราบใดที่คน “เลว” เหล่านั้นยังเห็นแย้งหรือคิดต่างจากตนไม่หยุดหย่อน
เป็นเพราะทำทุกอย่างเพื่อตัวกูของกูโดยสำคัญผิดว่าทำเพื่อความถูกต้อง จึงไม่น่าแปลกใจที่ยิ่งทำมากเท่าไร ก็ยิ่งห่างไกลจากความถูกต้อง และสวนทางกับความดีหรือความคิดความเชื่อที่ตนเองเชิดชู ขณะเดียวกันก็ส่งผลร้ายกลับมาที่ตนเอง เพราะเมื่อใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องกับผู้อื่น ก็ย่อมถูกเขาตอบโต้กลับมาด้วยความโกรธเกลียด หากไม่รู้ทันตนเอง ก็จะถลำเข้าไปในวงจรแห่งการจองเวรแก้แค้น จนเดือดเนื้อร้อนใจและบอบช้ำทุกฝ่าย
จะเชื่ออะไรก็ตาม พึงระวังอย่าให้กลายเป็นความยึดติดถือมั่นมากเกินไป จริงอยู่ปุถุชนย่อมมีความยึดติดถือมั่นเป็นธรรมดา แต่อย่างน้อยก็ควรมีสติรู้เท่าทันว่าที่เรากำลังจะทำไปนั้น เป็นการทำเพื่อสนองความยิ่งใหญ่มั่นคงแห่งตัวกู หรือเพื่อความดีงามที่ตนเองเชิดชูยกย่อง และแม้แน่ใจว่าทำเพื่อความดีงาม ก็ควรระมัดระวังไม่เผลอทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความดีงามนั้น ๆ ซึ่งจะกลายเป็นการบั่นทอนสิ่งนั้นไปโดยไม่รู้ตัว พึงระลึกว่าตัวการที่จะผลักดันให้เราเผลอทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความดีงามนั้นก็คือ ความโกรธเกลียด(และกลัว) ที่มีคน “เลว” เป็นเป้าหมาย จนพร้อมจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพื่อตอบโต้หรือขจัดเขาออกไป ไม่ให้มาคุกคามความดีที่เราเชิดชู
นอกจากการมีสติรู้เท่าทันตนเองแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยป้องกันมิให้การกระทำของเรานั้นแทนที่จะส่งผลดี กลับส่งผลเสียต่อตนเองและความดีงามที่เราเชิดชู นั่นก็คือ การใช้วิธีการที่ถูกต้อง สอดคล้องกับความดีงามที่มุ่งหมาย แม้ในยามที่ต้องต่อสู้กับ “ศัตรู” หรือผู้ที่จ้องทำลายสิ่งดีงามที่เราเชิดชูด้วยวิธีการอันเลวร้ายก็ตาม เพราะหากเราใช้วิธีการใด ๆ ก็ได้เพื่อเอาชนะคนเหล่านั้นแล้ว ในที่สุดเราจะกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียเอง ถึงแม้จะกำจัดเขาได้สำเร็จก็ตาม มีคำกล่าวว่า “เมื่อใดก็ตามที่เราต่อสู้กับอสูรร้าย พึงระวังว่าเราจะกลายเป็นอสูรร้ายเสียเอง” ใช่หรือไม่ว่า ตำรวจที่พร้อมจะใช้วิธีการใด ๆ กับโจร ไม่เว้นแม้กระทั่งวิธีการนอกกฎหมายหรือโหดร้ายป่าเถื่อน ในที่สุดกลับมีนิสัยหรือพฤติกรรมเยี่ยงโจรเสียเอง
ในระดับบุคคลฉันใด ในระดับประเทศก็ฉันนั้น หลังจากเหตุการณ์ ๑๑ กันยา สหรัฐอเมริกาได้ทุ่มเทกำลังและทรัพยากรอย่างมหาศาลเพื่อตอบโต้แก้แค้นกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่เป็นเหตุให้คนเกือบ ๒,๘๐๐ คนต้องตายในวันนั้น ความเลวร้ายของกลุ่มดังกล่าวถูกยกเป็นเหตุผลรองรับความชอบธรรมที่สหรัฐจะใช้วิธีการใด ๆ ก็ได้เพื่อปราบคนกลุ่มนั้นให้สิ้นซาก ถึงกับยกทัพไปก่อสงครามในอัฟกานิสถานและอิรัก จนผู้บริสุทธิ์ล้มตายกว่าแสนคน มากกว่าที่ตายในเหตุการณ์ ๑๑ กันยาถึง ๕๐ เท่า ผู้คนบ้านแตกสาแหรกขาดเกือบสิบล้านคน แต่ผลร้ายไม่ได้เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายและชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในอีกมุมหนึ่งของโลกเท่านั้น หากยังเกิดกับชาวอเมริกันด้วยกัน ไม่จำเพาะแต่ทหารที่บาดเจ็บล้มตายหรือกลับมาในสภาพที่บอบช้ำทางจิตใจ (แม้ร่างกายจะครบถ้วน) เท่านั้น ประชาชนทั่วไปก็เต็มไปด้วยความหวาดผวาและถูกละเมิดสิทธิโดยรัฐบาลของตนเอง ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายโดยอ้างว่าเพื่อปกป้องวิถีชีวิตและคุณค่าที่คนอเมริกันเชิดชู อันได้แก่ สิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย แต่กลับอนุญาตให้มีการทรมานผู้ต้องหา ตัดสิทธิที่จะแก้ต่างในศาลพลเรือน ในขณะที่ประชาชนทั่วไปก็ถูกดังฟังโทรศัพท์อย่างแพร่หลาย กลายเป็นว่ายิ่งต่อสู้กับพวกผู้ก่อการร้าย สหรัฐอเมริกากลับถอยห่างจากหลักการที่ตนเชิดชูไกลขึ้นทุกที และมีพฤติกรรมโน้มไปในทางเดียวกับกลุ่มก่อการร้ายที่ตนหมายกำจัดให้สิ้นซาก ยิ่งต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกากลับบั่นทอนคุณค่าดังกล่าวเสียเอง
หลังจากเหตุการณ์ ๑๑ กันยาผ่านไปสิบปี สหรัฐอเมริกากลับมีสถานะที่ตกต่ำลงในสายตาของชาวโลก ไม่สามารถเป็นแบบอย่างที่โดดเด่นในทางประชาธิปไตยได้อีกต่อไป ทั้งนี้เพราะความต้องการเอาชนะศัตรูโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นวิธีการใด ๆ ก็ได้ ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงการจมปลักในสงครามที่ยากจะถอนตัวได้ และงบประมาณมหาศาลที่ทุ่มเทลงไปจนก่อผลร้ายต่อเศรษฐกิจอเมริกันอยู่ในขณะนี้
กรณีของสหรัฐอเมริกานั้นตรงข้ามกับกรณีของนอรเวย์ ซึ่งประสบความสูญเสียครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์จากเหตุก่อการร้ายเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่แทนที่รัฐบาลจะหันมาใช้วิธีการไล่ล่าปราบปรามกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายขวาซึ่งเชื่อว่ากำลังเป็นภัยคุกคามต่อความสงบสุขของประเทศ นายกรัฐมนตรีนอรเวย์กลับประกาศว่า “เราจะรับมือกับการโจมตีครั้งนี้ด้วยประชาธิปไตยที่มากกว่าเดิม เปิดกว้างกว่าเดิม และมีมนุษยธรรมยิ่งกว่าเดิม” แม้ว่าการก่อการร้ายนี้มีรากเหง้ามาจากอุดมการณ์ขวาจัดที่กำลังแพร่หลายผ่านสิ่งพิมพ์และสื่ออินเตอร์เน็ตมากมาย แต่รัฐบาลกลับมองว่า “การกดห้ามความคิดเห็นนั้นเป็นเรื่องอันตราย เราต้องยอมรับว่ามีความคิดเห็นสุดโต่งอยู่ในหมู่ผู้คน ความคิดเห็นเหล่านี้เราไม่สามารถบังคับให้สงบเสียงจนตายหายไป หากแต่จะต้องมีการโต้เถียงจนตายหายไปต่างหาก”
ใช่หรือไม่ว่านี้คือวิธีที่พึงกระทำในการต่อสู้กับสิ่งเลวร้าย การยืนหยัดในความถูกต้อง มั่นคงในหลักการที่ดีงาม เป็นวิธีการเดียวที่จะเอาชนะสิ่งเลวร้ายและปกป้องสิ่งดีงามที่เราเชิดชู อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรย้ำก็คือ แม้เราจะมั่นใจว่าคุณค่าและหลักการที่เรายึดถือนั้นเป็นสิ่งที่ดี ก็ไม่ควรมองคนที่ไม่ได้ยึดถือคุณค่าและหลักการเหล่านั้นว่าเป็นคนเลว พึงมองว่าเขาเพียงแต่คิดต่างจากเรา แม้ความคิดนั้นเราจะมองว่าเป็นอันตราย แต่ก็ไม่ควรใช้กำลังหรืออำนาจกับผู้ที่มีความคิดดังกล่าว หากควรต่อสู้กันด้วยเหตุผล และควรให้คนเหล่านี้มีพื้นที่และโอกาสในการแสดงความคิดเห็นตราบใดที่ไม่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น หากเราเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยคือคุณค่าสูงสุดที่พึงปกป้อง ก็ควรเคารพสิทธิของคนที่มีความคิดสวนทางกับระบอบดังกล่าว ในทำนองเดียวกันหากเราเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์คือคุณค่าสูงสุดที่พึงธำรงรักษา ก็ควรเคารพสิทธิของคนที่ไม่ได้ซาบซึ้งในคุณค่าดังกล่าว การปิดปากหรือข่มขู่คนที่คิดต่างจากเราไม่ว่าด้วยอำนาจ พละกำลัง หรือคำด่าทอหยามเหยียดไม่ว่าในนามของประชาธิปไตยหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ตาม นอกจากไม่ได้ผลแล้ว ยังเป็นผลเสียต่อสิ่งที่เราต้องการปกป้องด้วย พึงระลึกว่า “ความคิดเห็นเหล่านี้เราไม่สามารถบังคับให้สงบเสียงจนตายหายไป หากแต่จะต้องมีการโต้เถียงจนตายหายไปต่างหาก”
แสดงความคิดเห็น