มนุษย์จำเป็นต้องมีจิตขนาดใหญ่
เพื่อที่จะบรรจุความเมตตา ความกรุณา
อันไม่มีที่ประมาณไว้ได้
โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี
หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับประจำวันที่ 19 มีนาคม 2548
เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ผมไปบรรยายเรื่อง “พลังน้ำใจอันยิ่งใหญ่ กับการพัฒนาสังคม” ที่ห้องประชุมสัญญา ธรรมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เป็นการประชุมร่วมระหว่างมหาวิทยาลัย ๘-๙ แห่ง ที่กำลังจะส่งนักศึกษาเป็นอาสาสมัครไปช่วยบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยสึนามิที่ ๖จังหวัดภาคใต้ อธิการบดีหรือรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยที่ร่วมจัดก็ประชุมอยู่ในห้องนั้น เสร็จแล้วผมจะต้องรีบไปประชุมประจำปีของคณะกรรมการมูลนิธิโกมลคีมทอง ที่ประชุมอยู่ที่ตึก ๖๐ ปี มูลนิธินี้จะประชุมในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ของทุกปี นอกจากจำเป็น เมื่อออกจากห้องประชุมสัญญา ธรรมศักดิ์ ก่อนจะถึงบันไดลง ผมพบ “กองทัพนักข่าว” ตั้งกล้องรออยู่เต็มไปหมด ไม่มีทางที่จะผ่านไปได้
ผมรู้ทันทีว่าเขาจะถามผมเรื่องอะไร
ต้องทบทวนเรื่องราวตอนนั้นสักนิด คือสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ท่านนายกรัฐมนตรีพูดถึงการแบ่งโซนหมู่บ้านใน ๓ จังหวัดภาคใต้ วันเสาร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ หนังสือพิมพ์ลงว่าผมไม่เห็นด้วยที่ไปแบ่งโซน วันอาทิตย์นักข่าวไปถามท่านนายกฯ แล้ววันจันทร์หนังสือพิมพ์ลงว่านายกฯ บอกให้ผมลองไปอยู่ที่ภาคใต้ดู ในวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ นักวิชาการประชุมกันที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คัดค้านเรื่องการแบ่งโซน หนังสือพิมพ์ลงข่าวในวันจันทร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พอวันอังคารที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ เรื่องนายกฯ “ด่าแม่ง” นักวิชาการก็เป็นข่าวใหญ่ เพราะฉะนั้นด้วยสัญชาตญาณผมก็รู้ว่านักข่าวจะสัมภาษณ์ผมเรื่องอะไร ไม่ได้ถามเรื่องอาสาสมัครที่เรากำลังประชุมกันหรอกครับ
“ที่ท่านนายกฯ ด่านักวิชาการนั้น อาจารย์จะว่าอย่างไรครับ” นักข่าวถาม
“เราต้องเมตตาท่าน” ผมตอบ นักข่าวงง
“ท่านนายกฯ เหนื่อยและเครียด เราจะต้องเมตตาท่าน การทำงานก็ต้องมีการกระทบกะทั่งกันเป็นธรรมดา แต่เราควรจะต้องประคับประคองซึ่งกันและกันด้วย...” ผมอธิบายทำนองนี้
นักข่าวอาจจะผิดหวังว่าผมไม่ด่านายกฯ กลับไป ซึ่งก็จะเป็นที่ฮือฮาพาดหัวกันได้ แต่ประโยชน์ที่แท้จริงคงจะไม่มี คำตอบของผมอาจจะดูแปลกหรือ “ผิดธรรมดา”ไป เพราะธรรมดาจะคิดแบบแยกส่วน เป็นเขาเป็นเรา เป็นดำเป็นขาว เป็นบวกเป็นลบ แล้วก็ปะทะขัดแย้งกัน หรือถึงรุนแรง เพราะเราตกเป็นเหยื่อของมายาคติให้เห็น คิด และทำแบบแยกส่วน นี้คือปัญหาใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติในปัจจุบัน คือ การเห็น คิด และทำแบบแยกส่วน ทำให้เกิดความขัดแย้ง รุนแรง สร้างความร่มเย็นเป็นสุขไม่ได้ และวิกฤตด้วยประการต่างๆ
ธรรมชาติของสรรพสิ่งไม่ได้แยกส่วน แต่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน
ผมเคยเล่าถึงมนุษย์อวกาศชื่อ เอ็ดการ์ มิทเชลล์ เมื่อยืนอยู่บนดวงจันทร์ แล้วมองเห็นโลกทั้งใบ เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน จิตของเขาเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง เกิดความรักเพื่อนมนุษย์ทั้งหมดและธรรมชาติทั้งหมด เพราะมนุษย์ทั้งหมดและธรรมชาติทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เมื่อเราเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียว หรือเข้าถึงความจริง จะประสบความงาม ความเป็นอิสระ ความสุขและความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง
ทุกวันนี้มนุษย์ขาดความสุข เต็มไปด้วยความเครียดและความขัดแย้ง แต่ความสุขเกิดได้ฉับพลัน (Instant Happiness) เมื่อเราเข้าถึงความเป็นทั้งหมด ลองสัมผัสธรรมชาติรอบตัวอย่างลึกๆ จะเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวของธรรมชาติทั้งหมด เมื่อเข้าถึงความเป็นทั้งหมดจะเกิดความเป็นอิสระและความสุขทันที ปรกติเราสัมผัสตื้นๆ ลวกๆ เร็วๆ เข้าไปสู่การเป็นส่วนเสี้ยว ถูกบีบคั้น มีความขัดแย้งและความทุกข์
ขอให้ลองฝึกสัมผัสธรรมชาติลึกๆ ดูเถิด จะเกิดความสุขฉับพลันจากการเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของสรรพสิ่ง ทุกวันนี้มนุษย์เครียด ขัดแย้ง และวิกฤต จนไม่มีทางไปด้วยการเห็นและการคิดแบบเดิมต่อไปได้อีกแล้ว นั่นคือเห็น คิด และทำแบบแยกส่วน
จิตวิวัฒน์ไปสู่ความมีจิตใหญ่ที่เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียว จึงเป็นระเบียบวาระของมนุษยชาติที่จะไปพ้นวิกฤต
เรื่องไฟใต้นั้นดับไม่ได้ด้วยการคิดแบบแยกส่วน เป็นเขาเป็นเรา แต่ถ้าเรามีจิตวิวัฒน์เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียว ไม่ใช่เฉพาะแต่จะดับไฟใต้เท่านั้น แต่จะดับไฟอื่นๆ ด้วย
วิกฤตการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ จิตใจ ครอบครัว ชุมชน สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความรุนแรง แก้ไม่ได้ด้วยความรู้ เทคโนโลยี การเมือง และเงิน เพราะทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้วิถีคิดแบบเดิม คือคิดแบบแยกส่วน อาจมีความสำเร็จเป็นส่วนๆ แต่ความสำเร็จเป็นส่วนๆ นั้นเอง จะทำลายสมดุลของระบบทั้งหมด เช่น เซลล์มะเร็งมันประสบความสำเร็จมากในการแบ่งตัวเอง แต่มันเป็นความสำเร็จเฉพาะส่วน ซึ่งก็ทำลายความสมดุลของระบบทั้งหมด
มนุษย์เห็น คิด และทำ แบบแยกส่วนมาจนเคยชิน และได้สร้าง “โครงสร้าง” แบบแยกส่วนอันมโหฬารขึ้นมา “โครงสร้าง” นี้ได้กักขังมนุษย์ไว้เป็นส่วนๆ จนหมดศักยภาพของความเป็นมนุษย์ ทั้งๆ ที่มนุษย์ควรจะมีศักยภาพมาก แต่กลับตกอยู่ในความหดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง เพราะถูกกดทับและจองจำด้วย “โครงสร้าง” อันตนเองไม่เข้าใจ เครื่องมือที่ใช้คือความรู้ เทคโนโลยี การเมือง และเงิน ก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะ ความรู้ เทคโนโลยี การเมือง และเงิน เป็นองค์ประกอบของโครงสร้างที่ว่านั้น
เราต้องการอะไรที่มีอำนาจเหนือวัตถุ
สิ่งที่มีอำนาจเหนือวัตถุก็คือจิต
ถ้าจิตเข้าถึงความจริงตามธรรมชาติ คือความเป็นหนึ่งเดียว จิตจะเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง (Transformation) เมื่อจิตเปลี่ยน พฤติกรรมก็เปลี่ยน โครงสร้างก็เปลี่ยน ทำให้มีความอิสระ ความสุข ความรักอันไพศาล แก้ปัญหาได้ และสามารถอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้อง เกิดความร่มเย็นเป็นสุขได้
ทุกวันนี้มีทั้งความรู้เก่าและความรู้ใหม่เป็นอันมากที่จะทำให้เกิดจิตวิวัฒน์ ขอให้สนใจเรื่องนี้มากๆ จะสามารถสร้างความสุขฉับพลัน รู้การแก้ปัญหายากๆ และซับซ้อน พ้นวิกฤต และเกิดความร่มเย็นเป็นสุขได้
แสดงความคิดเห็น